กองบรรณาธิการ
บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับบริษัท ไทยไพบูลย์ อีควิปเม้นท์ จำกัด โดยเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของไทยไพบูลย์ฯ ในครั้งแรกสัดส่วนไม่น้อยกว่า 10% คิดเป็นมูลค่าลงทุนไม่เกิน 103 ล้านบาท ซึ่งในอนาคต PTG จะมีสิทธิเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของไทยไพบูลย์ฯ เพื่อถือหุ้นในสัดส่วนสูงสุดไม่เกิน 33.33% คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณการตลอดโครงการทั้งสิ้น 400 ล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนธุรกิจบริหารจัดการขยะและผลิตเชื้อเพลิงขยะ รวมถึงรองรับแผนธุรกิจ 5 ปีเพื่อขยายพอร์ตธุรกิจ Non-Oil ด้าน Renewable Energy ให้บริษัทฯ เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมายในการส่งเสริม และผลักดันให้เกิดการสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัท ไทยไพบูลย์ อีควิปเม้นท์จำกัด ในการดำเนินธุรกิจบริหารจัดการและผลิตเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF) เพื่อสนับสนุนแผนธุรกิจ 5 ปีของบริษัทฯ ที่ต้องการขยายพอร์ตธุรกิจ Non-Oil ให้เติบโตในอนาคต โดยธุรกิจ Renewable Energy เป็น 1 ใน 8 ธุรกิจหลักที่ PTG ตั้งเป้าที่จะเข้าลงทุน เพื่อให้ธุรกิจ Renewable Energy เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ รวมถึงต่อยอดและขยายธุรกิจจากที่ PTG ได้เข้าสู่ธุรกิจบริหารและจัดการขยะในปี 2565 โดยเป็นคู่สัญญากับเทศบาลเมืองบ้านพรุ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สำหรับการก่อสร้างและบริหารจัดการโครงการกำจัดขยะมูลฝอยเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากชุมชน รวมถึงมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 4.5 MW
“บริษัทฯ เล็งเห็นว่าการร่วมกับไทยไพบูลย์ ซึ่งเป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการขยะมูลฝอยจากชุมชน อย่างครบวงจร และผลิตเชื้อเพลิงขยะ (RDF) สำหรับทดแทนเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming) ไทยไพบูลย์มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับต้น ๆ ในธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) โดยทีมผู้บริหารมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่อยากเห็นชุมชนและคนในสังคมมีชีวิตที่ อยู่ดี มีสุข จากการบริหารจัดการขยะได้อย่างถูกวิธี ส่งผลให้ชุมชนและสิ่งแวดล้อมได้มีความเป็นอยู่อย่างถูกสุขลักษณะ และเป็นช่องทางการเติบโตในอนาคตจากการต่อยอดไปยังธุรกิจอื่น เช่น ธุรกิจบริหารจัดการขยะรีไซเคิล และธุรกิจคาร์บอนเครดิตได้ ” นายพิทักษ์ กล่าว
ทั้งนี้การลงทุนในปีแรกจะใช้งบลงทุนที่ 100 ล้านบาท และบริษัทหวังว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะสามารถนำขยะที่มีอยู่ เป็นวัตถุดิบที่สามารถนำไปต่อยอดและสร้างมูลค่าทำให้บริษัทสามารถต่อยอดในการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนด้วย สำหรับเงินลงทุนส่วนที่เหลือคาดว่าจะสามารถลงทุนได้ทั้งหมดในปี 2568
สำหรับการลงทุนในปี 2568 บริษัทมีแผนลงทุนกับธุรกิจ non-oil ที่มีมูลค่า 300-400 ล้านบาท จำนวน 2 บริษัทและบริษัท non-oil ที่มีมูลค่าการลงทุนที่ 100 ล้านบาท มี 2-3 บริษัท
ด้านนายไพบูลย์ คุ้มคำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยไพบูลย์ อีควิปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือกับ PTG ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นผู้นำด้านบริการในธุรกิจพลังงานครบวงจรของประเทศ เพื่อร่วมกันผลักดันและส่งเสริมการจัดการขยะ ที่สำคัญคือ มีความมุ่งมั่นเดียวกันในการส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ในการจัดการขยะตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งมั่นใจว่าความร่วมมือของทั้ง 2 บริษัทในครั้งนี้จะถือเป็นองค์กรต้นแบบที่ช่วยผลักดันให้เกิดการจัดการ และสนับสนุน สร้างความร่วมมือในทุกภาคส่วนในการแยกขยะใช้แล้วอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า ส่งผลดีต่อสังคม สิ่งแวดล้อมและโลกได้ในระยะยาว
ทั้งนี้ บริษัท ไทยไพบูลย์ อีควิปเม้นท์ จำกัด อยู่ในกลุ่มผู้นำในการประกอบธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการขยะมูลฝอยจากชุมชน ขยะฝังกลบอย่างครบวงจร และผลิตเชื้อเพลิงขยะ โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบ ผลิต ติดตั้งระบบคัดแยกขยะ การบริหารจัดการบ่อขยะ การผลิตและจำหน่ายขยะเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel: RDF) รวมถึงเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการบริหารจัดการขยะที่มีประสบการณ์มากว่า 21 ปี
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า เงินที่ได้รับลงทุนจาก PTG บริษัทจะนำไปพัฒนาเครื่องจักร รวมถึงช่วยในการขยายธุรกิจ เพิ่มบ่อขยะ และมีแผนที่จะตั้ง Hub ขยะ ในแต่ละภูมิภาคเพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยในปีหน้ามีแผนที่จะสร้าง Hub ขยะ จำนวน 2 แหง่วง คือ ที่จังหวัดสระบุรี และจังหวัดร้อยเอ็ด และปัจจุบันบริษัทสามารถกำจัดขยะได้วันละ 2,000 ตัน มีบ่อขยะจำนวน 17 แห่งโดยบ่อขยะตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับโรงไฟฟ้า ในหลายจังหวัด อาทิ อยุธยา ปทุมธานี สมุทรสาคร และระยอง เป็นต้น
นอกจากนี้ธุรกิจยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับเทรนด์ของโลกด้านพลังงานสะอาด การรักษาสิ่งแวดล้อม และการนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้ธุรกิจได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ รวมถึงมีความต้องการเกิดขึ้นจากทั้งภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ ปริมาณขยะมูลฝอยที่ยังไม่ได้รับการกำจัดยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามปริมาณประชากรภายในประเทศ นักท่องเที่ยวต่างประเทศ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานรวมของกลุ่มบริษัท ณ ปัจจุบัน มีรายได้ต่อปีกว่า 800 ล้านบาท และกำไรสุทธิกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักมาจากการขายเชื้อเพลิงขยะ (RDF) และจากการบริหารจัดการขยะ และในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ที่ 1,200 ล้านบาท มีกำไรสูงขึ้นมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์
“ความร่วมมือในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจได้แย่าฃก้าวกระโดดและมีการทำงานที่มีการขยายงานมากขึ้น มีการจัดทำ Hub ขยะตามภูมิภาค รวมถึงสามารถจัดตั้งขยะชุมชนและนำขยะมาผลิตเป็นเม็ดพลาสติกเพื่อทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มได้ด้วย” นายไพบูลย์ กล่าว
#PTG #ไทยไพบูลย์ #RenewableEnergy #ThaiSMEs