กองบรรณาธิการ
“ผมมองว่าการเคารพซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่สำคัญมาก แม้ว่าผมจะเป็นหัวหน้างานหรือเป็นเจ้านาย ผมจะไม่ทำแค่สั่งลูกน้องหรือว่าทำงานกับพาร์ทเนอร์ ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกค้า แล้วเราเป็นซัพพลายเออร์ ผมคิดว่าเราต้องมีความเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อที่เราจะมีความไว้เนื้อเชื่อใจ มีความโปร่งใส ในการทำธุรกิจ และมีการสื่อสารที่ดียิ่งขึ้น” มร.อเล็กซ์ ถัง ผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) บริษัท เสียวหมี่ อินเตอร์เนชั่นแนล และ ผู้จัดการทั่วไป เสียวหมี่ ประเทศไทย กล่าวถึงหลักปฎิบัติในการทำงานกับทีมงานและพันธมิตร
มร. อเล็กซ์ ร่วมงานกับเสียวหมี่ เมื่อ 5 ปีที่ผ่าน ด้วยตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน โดยเขาได้รับหน้าที่เป็นทีมบริหารฝ่ายการเงินของเสียวหมี่ อินเทอร์เนชันนัล มากกว่า 20 ประเทศและ 10 ภูมิภาค
“ผมทำงานกับเสียวหมี่ในปี 2018 หรือประมาณ 5 ปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้ทำงานทางด้านการเงิน ตอนที่เข้ามาทำงานกับเสียวหมี่ ตอนแรกอยู่สำนักงานใหญ่ และธุรกิจของต่างประเทศด้วย เริ่มมาทำงานที่ไทย เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่ผ่านมา (2022) และนับเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของผม” มร. อเล็กซ์ กล่าว
ด้วยความสามารถและการทำงานที่มีประสิทธิภาพ มร.อเล็กซ์ ได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบมากขึ้น ในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป เสียวหมี่ประเทศไทย นับเป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานนอกสำนักงานใหญ่ในจีน และในเดือนกันยายนที่ผ่านมา (2023) มร.อเล็กซ์ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เสียวหมี่ อินเตอร์เนชั่นแนล ควบคู่กับ การเป็นผู้จัดการทั่วไป เสียวหมี่ ประเทศไทย
มร.อเล็กซ์ กล่าวว่า ภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ เป็นภูมิภาคที่มีความโดดเด่นและดึงดูดมากโดยเฉพาะเรื่องของจำนวนประชากร มีทั้ง มาเลเซีย เวียดนาม ประชากร คือ มีจำนวนประชากรจำนวนมาก รวมถึงเรื่องการเติบโตของ GDP ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ ความสัมพันธ์อันดีกับประเทศจีน ทำให้เราทำธุรกิจได้ในบรรยากาศที่เป็นมิตร
“ด้วยบทบาทหน้าที่ตอนที่อยู่สำนักงานใหญ่ ผมอาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดลึกมากในเรื่องของการขาย การเข้าถึงลูกค้า พอมาอยู่ที่ไทยจะต้องมาดูเรื่องการขาย เรื่องลูกค้าด้วย คิดว่ามันประสบความสำเร็จ ก็เห็นการเติบโตที่ดี มาเรื่อยๆ คิดว่าค่อนข้าง ประสบความสำเร็จ โดย ในไตรมาส 3 ของปีนี้ เสียวหมี่เป็นที่ 3 ในด้านการทำตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทย มีส่วนแบ่งตลาดถึง 16 % ซึ่งใกล้เคียงกับส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเสียวหมี่ มีส่วนแบ่งตลาดที่ 14% ของทั่วโลกและ ส่วนแบ่งการตลาด 15%ใน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” มร.อเล็กซ์ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์ในการทำตลาดนั้นจะมุ่งเน้นที่การทำตลาดสมาร์ทโฟนและ ผลิตภัณฑ์ AIoT (AI+ IoT) รวมถึงการเชื่อมต่อการทำงานของสมาร์ทโฟน และผลิตภัณฑ์ AIoT เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันใน ecosystem เดียวกัน
ในส่วนสมาร์ทโฟน นั้น มร.อเล็กซ์ กล่าวว่า ยังเป็นธุรกิจหัวใจหลักของ เสียวหมี่โดยจำหน่ายสมาร์ทโฟนที่ครอบคลุม 3 กลุ่มลูกค้า ประกอบด้วยสมาร์ทโฟนสำหรับลูกค้าตลาดไฮเอนท์ ด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นล่าสุด Xiaomi 13T Series โดยเสียวหมี่ได้ทำงานร่วมกับไลก้า (Leica) ภายใต้แนวคิด Masterpiece in sight ด้านการถ่ายภาพ ในราคาเริ่มต้น 15,990 บาท
“เราให้ความสำคัญมากๆกับตลาดพรีเมี่ยม ในปี 2022 เสียวหมี่มีความร่วมมือกับไลก้า เรามีเป้าหมายร่วมกัน คือการพัฒนาการถ่ายภาพด้วย สมาร์ทโฟน โดยไลก้าก็มีความเชี่ยวชาญทางด้านการถ่ายรูป ในแนวทางของไลก้า เสียวหมี่เองก็มีความเชี่ยวชาญการถ่ายรูปด้วย สมาร์ทโฟน เราก็เลยรู้สึกว่าอันนี้เป็นจุดเชื่อมที่พาเรามาด้วยกัน ทำให้เราต้องการพัฒนา การถ่ายรูปขึ้นไปเรื่อยๆ และมีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกับไลก้าในปีหน้าด้วย” มร.อเล็กซ์ กล่าว
สำหรับสมาร์ทโฟนตลาดระดับกลาง เสียวหมี่นำเสนอ สมาร์ทโฟน Redmi Note 12 Series ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ 6,499 บาท และตลาดระดับเริ่มต้น เราเพิ่งเปิดตัว สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ Redmi 13C เพื่อตอบสนองความต้องการเชิงสร้างสรรค์แก่คน Gen Z ในราคาเริ่มต้นเพียง 3,999 บาท
ด้าน ผลิตภัณฑ์ AIoT (AI+ IoT) ปัจจุบัน เสียวหมี่นำเข้าผลิตภัณฑ์ AIoT มาจำหน่ายในประเทศไทยมากกว่า 300 รายการ (SKUs) โดยผลิตภัณฑ์หลักที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในตลาดประกอบด้วย เครื่องกรองอากาศ และเครื่องดูดฝุ่น
“สมาร์ทโฟน และ AIoT เป็นหัวใจหลักของธุรกิจเรา สิ่งที่เรามุ่งเน้นไปก็คือการที่เราจะเพิ่มตัวผลิตภัณฑ์ของ AIoT มากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าชาวไทยของเราได้ใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์พวกนั้น
และสิ่งต่อมาที่เราให้ความสำคัญก็คือ การเชื่อมตัวของอุปกรณ์ จะเห็นว่า ผลิตภัณฑ์ AIoT ทั้งหลายของเราสามารถเชื่อมต่อกันได้หมดมาเป็น ecosystem ของมัน เพื่อให้ลูกค้าคนไทยได้ใช้ชีวิตแบบสมาร์ทไลฟ์ (Smart life)ใช้ชีวิตได้อย่างอัจฉริยะมากขึ้น ด้วยอุปกรณ์ของเราที่จะเอามาอำนวยความสะดวกสบายให้”
มร.อเล็กซ์ กล่าวว่า พันธกิจสำคัญของเสียวหมี่ คือ การนำสินค้าที่มีนวัตกรรม ล้ำหน้ามาให้คนไทยได้ใช้และดูว่าสินค้าไหนที่จะมาทำให้เกิดประโยชน์ที่สุด กับลูกค้าคนไทย ในราคาที่สามารถเข้าถึงได้เราจะนำเข้ามาให้กับลูกค้า
“เราจะมุ่งเน้นนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมการที่ผลิตภัณฑ์ของเรามีคุณสมบัติต่างๆที่ดีมากๆเราจะบวกควบคู่ไปกับราคาที่ลูกค้าของเราเข้าถึงได้ ไม่ว่าเราจะนำเสนออะไรที่มีคุณภาพดีแค่ไหน เราก็จะพยายามคำนึงถึงราคา เพราะเราอยากให้ลูกค้าได้ประโยชน์จากสินค้าของเราในราคาที่เค้าสามารถจับต้องได้” มร. อเล็กซ์ กล่าว
สำหรับเทรนด์เทคโนโลยีที่กำลังจะมาถึงใน ปี 2024 นั้น มร.อเล็กซ์ มองว่า 5G จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะในแอพพลิเคชันต่างๆ จะเห็นโทรศัพท์ที่เป็น 5G เข้ามามากยิ่งขึ้น และจะเห็นการใช้ AI ในแอพพลิเคชันต่างๆรวมถึงอยู่ในผลิตภัณฑ์อัจฉริยะมากขึ้น เช่น การใส่เทคโนโลยี AI ในหลอดไฟหรือโคม โคมไฟจะจำระดับแสงสว่างที่ชอบของคนในบ้าน แต่ละคนได้ และมีการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น และอยู่เป็น ecosystem เดียวกัน
ในส่วนของการลงทุนของเสียวหมี่หลังจากที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนจีนในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานั้น เสียวหมี่มองว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตมาก เสียวหมี่อยู่ระหว่างพิจารณาการลงทุนเพิ่มในเมืองไทย นอกจากนี้เสียวหมี่ ยังคงทำตามพันธกิจคือการนำผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเข้ามาในประเทศมากยิ่งขึ้น มีการลงทุนในการสร้างแบรนด์และการตลาดมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการพัฒนาของหน้าร้านที่ลูกค้าจะได้สัมผัสสินค้าเพราะว่าลูกค้าในประเทศไทยก็ยังเป็นประเทศที่ลูกค้ายังชอบที่จะจับต้องสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ และการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้ในเรื่องของบริการหลังการขาย เสียวหมี่จะพัฒนาการบริการให้ดียิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นศูนย์บริการ (Service Center) หรือ Call Center ของเสียวหมี่ รวมถึงเพิ่มพันธมิตรในการทำธุรกิจมากยิ่งขึ้น
มร. อเล็กซ์ กล่าวต่อว่า เป้าหมายของเสียวหมี่ในปีนี้ คาดว่าจะมียอดขายสมาร์ทใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิดแม้ว่าภาวะของเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
และหลังโควิดเกิดขึ้นยอดขายสมาร์ทโฟนอาจจะไมได้ดีเท่าก่อนโควิด เพราะฉะนั้นเราเห็นว่าช่วงนี้ หลังจากมีโควิดขึ้นมา ตลาดมีการฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง เห็นการเติบโตบ้าง แต่เนื่องจากเศรษฐกิจอาจจะยังไม่ฟื้นตัวเท่าก่อนโควิด เลยทำให้ยอดขายของมือถือ อาจจะไม่ดีเท่าก่อนโควิด เราคิดว่าเดี๋ยวมันจะค่อย ๆ ฟื้นฟูขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นจีนหรืออเมริกามันอาจจะกำลังฟื้นฟู แต่อาจจะไม่ได้ใช้เวลาเท่าเดิมหรือเร็วเท่าก่อนโควิด
และเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ออกมาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เสียวหมี่ ให้ความสำคัญอย่างมากกับการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา โดยในปี 2022 มีการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาประมาณ 20,000 ล้านหยวน ซึ่งสอดรับกับแผนการวิจัยและพัฒนาของเสียวหมี่ปี 2022-2027 ประมาณ 1 แสนล้านหยวน และเสียวหมี่ยังมีศูนย์วิจัยและพัฒนาทั่วโลก อาทิ ที่ประเทศญี่ปุ่น และฝรั่งเศส เป็นต้น เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีให้ลูกค้ามีประสบการณ์การใช้ที่ดีในราคาที่เข้าถึงได้
#เสียวหมี่ #ThaiSMEs