กองบรรณาธิการ
ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน การจะเข้าถึงการวิจัยและพัฒนา สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อย ไม่ใช่เรื่องง่าย.. โดยเฉพาะในอดีตเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ที่งานวิจัยและพัฒนาส่วนใหญ่ยังอยู่ในสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยของประเทศ ขาดการเชื่อมต่อและผลักดันไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์
“งานวิจัยอยู่บนหิ้ง” จึงเป็นคำกล่าวที่มักจะได้ยินอยู่เสมอ ๆ จนกระทั่งหลายภาคส่วนต่างช่วยกันในการขับเคลื่อน “งานวิจัยให้ลงจากหิ้งสู่ห้าง”
และนั่นก็คือโอกาส และ เป็นจุดกำเนิดของ “บริษัท ซีดีไอพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)” หรือ “ CDIP ” ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2553 โดยกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ สายเลือดนักวิจัย และมีบริษัทโรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP ถือหุ้น 65 % เพื่อปิดช่องว่างในการเชื่อมโยงงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริง
ดร.สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP กล่าวว่า CDIP เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะผลักดันให้ JSP กลายเป็นผู้ให้บริการด้านสุขภาพอย่างครบวงจร เพราะธุรกิจด้านการวิจัยและพัฒนา และการต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่เชิงพาณิชย์ ถือเป็นหัวใจของการต่อยอดสู่การผลิตยา เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับคนและสัตว์
และธุรกิจของ CDIP นั้นไม่ได้สำคัญเฉพาะกับ JSP เท่านั้นแต่เป็นฟันเฟืองที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเพื่อก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง ผ่านผู้ประกอบการรายย่อย และวิสาหกิจชุมชน เนื่องจากปัจจุบันสินค้าด้านสุขภาพของไทยมีจำนวนไม่น้อยที่มีคุณภาพสูงแต่ไม่สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ เนื่องจากไม่มีงานวิจัยรองรับ โดยอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงงานวิจัยได้ มาจากค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ธุรกิจของ CDIP จึงเป็นการเปิดกว้างให้ SME และผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงการทำวิจัยและยกระดับสินค้าให้สามารถตีตลาดต่างประเทศได้กว้างขึ้น การก้าวข้ามข้อจำกัดนี้จะส่งผลให้ประเทศไทยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
ปัจจุบัน CDIP ให้บริการทั้งรับจ้างวิจัยเชิงวิชาการในห้องปฏิบัติการ โดยสามารถเชื่อมโยงผู้เชี่ยวชาญในเครือข่ายวิจัยเพื่อตอบโจทย์ของลูกค้าได้อย่างหลากหลาย มีบริการรับจ้างทดสอบและวิเคราะห์ผลทางวิทยาศาสตร์ ผลักดันให้เกิดการนำงานวิจัยลงจากหิ้ง โดยเชื่อมโยงนักวิจัยกับผู้ผลิตหรือเจ้าของแบรนด์เข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่
หลังเปิดบริการมา10 ปี ให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาไปแล้วกว่า 200 โครงการ เฉลี่ยปีละกว่า 20 โครงการ โดยค่าให้บริการมีตั้งแต่ 3000 บาท จนถึง 2 ล้านบาท นอกจากนี้เมื่อทำงานวิจัยจำนวนมาก จึงเกิดองค์ความรู้ CDIP จึงขยายจากการรับจ้างวิจัยไปสู่งานฝึกอบรมและสัมมนา รวมถึงงานให้คำปรึกษาการยื่นขอทุนวิจัยด้านการวิจัยและพัฒนาจากหน่วยงานต่าง ๆ
ดร.สิทธิชัย กล่าวต่อว่า CDIP ยังให้บริการด้านการผลิตสินค้า โดยหาโรงงานรับจ้างผลิตที่เหมาะสมกับลูกค้าและควบคุมการผลิตให้กับลูกค้า นอกจากนี้ยังมีการทำเทรดดิ้งให้กับลูกค้า เช่น การนำสารสกัดของลูกค้าไปขายให้กับโรงงานอุตสาหกรรม และยังทำด้านช่องทางจำหน่าย โดย CDIP ได้เข้าไป M&A กับผู้พัฒนา ตู้จำหน่ายยาอัตโนมัติเมดิส ซึ่งปัจจุบันมีการติดตั้งให้บริการในกรุงเทพฯ รวม 44 ตู้ และในปี 2567 ตั้งเป้าขยายเป็น 200 ตู้ ในกรุงเทพ ปริมณฑลและจังหวัดต้นแบบ
สำหรับ ตู้จำหน่ายยาอัตโนมัติเมดิส จะเป็นตู้ที่ขายยาสามัญประจำบ้าน และผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น ชุดตรวจโควิด และครีม เครื่องสำอางต่าง ๆ เจาะกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย ทั้ง คอนโด อาพาร์ทเมนท์ หอพัก แหล่งชุมชน และโรงงานอุตสาหกรรม เน้นความสะดวก สามารถเข้าถึงยาสามัญประจำบ้านได้ทุกเวลา โดยเฉพาะในช่วงหลัง 3 ทุ่มที่ร้านขายยาส่วนใหญ่ปิดให้บริการ ขณะที่ร้านสะดวกซื้ออาจอยู่ไกลออกไป
ตัวตู้มีจอแอลอีดีขนาดใหญ่ รองรับการขายโฆษณาผ่านหน้าจอ สามารถ VIDEO CONFERENCE และพูดคุยกับเภสัชกรออนไลน์ได้ มีช่องเสียบบัตรประชาชนเพื่อยืนยันตัวตน วัดความสูง และวัดอุณหภูมิร่างกายได้
ผู้บริหาร JSP บอกว่า ลงทุนเรื่องระบบและอุปกรณ์ตู้อัตโนมัติที่มีราคาสูง เนื่องจากมองว่าอนาคตสามารถรองรับการทำ Telepharmacy หรือสามารถปรึกษาเภสัชกรออนไลน์ ก่อนที่จะซื้อยาจากตู้ได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะสามารถเกิดได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า
และล่าสุด เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา CDIP ได้เปิดห้องปฏิบัติสำหรับตรวจสุขภาพ-ตรวจเลือด ที่จังหวัดชลบุรี จับกลุ่มลูกค้าพนักงานโรงงานและนักศึกษา ซึ่งการที่ CDIP เข้าสู่ธุรกิจดังกล่าว เนื่องจากมองในมุมของนักวิจัยที่ต้องการฐานข้อมูลที่แสดงผลถึงภาพรวมของพฤติกรรมลูกค้า ซึ่งจะเป็นโจทย์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับผู้บริโภคกลุ่มต่าง ๆ มากขึ้น
ด้านนางสาวจิรรัตน์ พวงนุ้ย ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรม CDIP เปิดเผยว่า CDIP ประกอบธุรกิจต้นน้ำโดยเป็นผู้ให้บริการวิจัยและพัฒนา วิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ พัฒนาสูตรและรูปแบบของผลิตภัณฑ์ มุ่งเชื่อมโยงผู้ผลิตงานวิจัย นักวิจัย ผู้ใช้งานวิจัย ในอุตสาหกรรมต่างๆ และผู้บริโภคงานวิจัย ซึ่งหมายถึงตลาดและผู้บริโภคเข้าด้วยกัน เพื่อนำงานวิจัยไทยมาต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์และผลิตเป็นสินค้าเพื่อสุขภาพ โดยเน้นการต่อยอดงานวิจัยไทยเพื่อเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบเพื่อสุขภาพจากไทยสู่ตลาดโลก เสริมสร้างความแข็งแกร่งและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคการเกษตร และสมุนไพรไทย
CDIP มีห้องแล็บขนาดใหญ่ที่มีเครื่องมือที่ได้รับมาตรฐานระดับสากล และเครือข่ายนักวิจัย ระดับปริญญาเอก ทั้งจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.)และอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งเป็นที่ตั้งของ CDIP และมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งจะสนับสนุนให้ CDIP สามารถให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการยกระดับงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ได้ด้วยเงินทุนที่ไม่มากเหมือนกับบริษัทใหญ่ ในต่างประเทศ
ดร.สิทธิชัย บอกว่าจุดเด่นที่สำคัญของ CDIP ก็คือ การเป็น Contact Research Organization หรือ องค์กรที่จะส่งต่องานวิจัย โดยให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service) ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาในการติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ และ CDIP เป็น Innovation Service Provider หรือ ผู้รับจ้างวิจัยที่ สวทช.ให้การรับรองอีกด้วย
อย่างไรก็ดี JSP ตั้งเป้านำ CDIP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) ภายในปี 2568 และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาด Mai ได้ใน 5 ปีข้างหน้า
#JSP #CDIP #ตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ #LiVEx #ThaiSMEs