aCommerce เปิด กลยุทธ์ “aCommerce 2.0” รุกตลาดออนไลน์

กองบรรณาธิการ

บริษัท เอคอมเมิร์ส กรุ๊ป (aCommerce Group) เปิดตัว นโยบาย aCommerce 2.0 เพื่อรับมือกับการระบาดของ COVID-19 ที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ โดย aCommerce มีจุดเด่นที่สามารถพิ่มการทำกำไรผ่านการจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ มีรายได้สูงถึง 120% เฉลี่ยต่อลูกค้า รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในด้านการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์โดยตรงกับลูกค้าเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคต้องหันไปใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัท

สำหรับการดำเนินการตามกลยุทธ์ aCommerce 2.0 ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาทำให้บริษัทกลายเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านอีคอมเมิร์ซรวมถึงยังช่วยพัฒนาระบบอีคอมเมิร์ซของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ก้าวหน้าต่อไป aCommerce ได้ลงทุนอย่างมีกลยุทธ์ในด้านเทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซและการบริการแบรนด์หลัก, พัฒนาแนวทางการปฎิบัติงานหรือ SOP, ยกระดับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร, จ้างบุคคลภายนอก(outsource)ให้ดำเนินงานที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัท

“กลยุทธ์ ‘aCommerce 2.0’ ของเราทำให้เราสามารถปรับปรุงการให้บริการแก่ลูกค้ากว่า 160 รายที่และยังช่วยให้ทำกำไรและเติบโตขึ้นกว่า 120% สำหรับรายรับต่อลูกค้าตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2019 อีกด้วย และคาดว่าในระยะจะมีการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นกว่า 40% ต่อปี ทำให้กระแสเงินของบริษัทค่อนข้างที่จะมีกระแสเงินสดเชิงบวก และตอนนี้เรากำลังมองหาผู้ถือหุ้นระยะยาวในอนาคตอันใกล้นี้” Piers Bennett, Co-Founder และ Group CFO กล่าว

Bennett กล่าวต่อว่า ผลกระทบของ COVID-19 การระบาดของ COVID19 ในต้นปี 2020 เผยถึงความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานขององค์กรและพฤติกรรมผู้บริโภค การระบาดของ COVID19 กำลังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคให้หันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น รวมถึงสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่รวดเร็วยิ่งขึ้น แบรนด์ต่างๆหันมาใช้ Omni-channel มากยิ่งขึ้น

ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่บริการทั้งแบบดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซกำลังจะเป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้น ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการด้านอีคอมเมิร์ซ์ aCommerce จึงนำกลยุทธ์ “aCommerce 2.0″มาใช้ เพื่อช่วยเหลือลูกค้า

“เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีนัยสำคัญต่อธุรกิจของเราซึ่งเป็นผลมาจาก COVID-19 เช่นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและการดูแลสุขภาพ เราจะเห็นว่าอัตราการเติบโตปีต่อปีนั้นเป็นตัวเลขสามหลัก อย่างไรก็ตาม สินค้าหรูหราและสินค้าอิเล็คทรอนิคส์มีอัตราการเติบโตที่ 40% ต่อปี เนื่องจากแบรนด์ต่างๆให้ความสำคัญกับการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์อย่างทันท่วงที เมื่อต้องเผชิญกับการลดลงของการขายผ่านช่องทางออฟไลน์แบบดั้งเดิม นอกจากนี้เรายังเห็นส่วนแบ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการขายแบบ Direct-to-Customer เช่น แพลตฟอร์มโซเชี่ยล, B2B และร้านค้าออนไลน์ของบริษัทหรือ“ brand.com” ซึ่งเราดำเนินงานอยู่ในปัจจุบันมากถึง 50% ของยอดขายจากประมาณ 20% ถึง 30% ในปีที่แล้ว จากการตัดสินใจเมื่อปีที่แล้วของเราส่งผลรายได้ของเราเพิ่มขึ้น ซึ่งนำไปสู่การทำกำไรก่อนที่กำหนดไว้ได้อย่างรวดเร็วPaul Srivorakul, Co-founder และ Group CEO กล่าว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Follow by Email
Pinterest
LinkedIn
Share