โดย นายนครินทร์ เทียนประทีป ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ยิบอินซอย จำกัด
เมื่อวิกฤตโควิด-19 กำลังผ่านพ้นไปพร้อมกับความปกติใหม่ (New Normal) กำลังถูกแทนที่ด้วยความปกติถัดไป (Next Normal) ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลกลายเครื่องมือสื่อสารต่อวิถีชีวิตและการขับเคลื่อนธุรกิจ ดังนั้น ทุกองค์กรจึงควรเตรียมพร้อมกับการกำหนดกลยุทธ์ไอทีเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในก้าวต่อไป
เดินหน้าต่อกับมัลติ-คลาวด์ (Multi-Cloud)
แม้องค์กรจะยังจำกัดตัวเองไว้ที่ไฮบริดคลาวด์ แต่มัลติ-คลาวด์ดูจะเป็นคำตอบที่ตรงจุดหากต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นจริงในอนาคต เพื่อรับมือปริมาณงานและอุปกรณ์สื่อสาร (Network Edge) ภายใต้แอพพลิเคชันหลากหลายโดยคอนเทนเนอร์และไมโครเซอร์วิสมากขึ้น ความท้าทายจึงอยู่ที่การสร้างสภาพแวดล้อมเวอร์ช่วลไลเซชันที่ผสานการทำงานของคลาวด์ทุกประเภท
ไม่ตกยุคเรื่องแอพพลิเคชัน (App Modernization)
องค์กรขณะนี้กำลังเผชิญการจัดการปริมาณงานจากแอพพลิเคชันที่มาจากสภาพแวดล้อมการทำงานเดิม บนเวอร์ช่วลแมชชีน และคลาวด์-เนทีฟ โดย เทคโนโลยีคอนเทนเนอร์ (Container) จะเข้ามาช่วยให้เกิดความมั่นคงในการพัฒนาแอพพลิเคชันตามแนวทาง DevOps ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ตัวแอพพลิเคชันที่มีน้ำหนักเบาทำให้ย้ายตัวเองไปยังคลาวด์ประเภทต่างๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะเทคโนโนลยีไมโครเซอร์วิสในการเขียน Docker File ที่ระบุคำสั่งและการใช้งานในการสร้างอิมเมจเพื่อไปรันบนคอนเทนเนอร์แบบครบสมบูรณ์ในตัวเองจึงมีความปลอดภัยสูง รวมถึง คูเบอร์เนเตส (Kubernetes) ที่พร้อมบริหารจัดการกรณีมีการใช้งานคอนเทนเนอร์ปริมาณมาก ๆ ในองค์กร
เหนือกว่าด้วยเวอร์ช่วลเน็ตเวิร์ค (Virtual Cloud Network)
อุปกรณ์เน็ตเวิร์คแบบแยกส่วนการทำงาน (Desperate Network Stack) กำลังถูกแทนที่ด้วยแพลตฟอร์มแบบเวอร์ช่วลเพื่อให้องค์กรมองเห็นเสมือนเป็นระบบเน็ตเวิร์คเดียวกัน เกิดการจัดการและรักษาความปลอดภัยที่ง่ายและมีประสิทธิภาพกว่าด้วยเครื่องมือเดียว โดยรองรับการทำงานได้หลากหลาย ทั้งเวอร์ช่วลแมชชีน คอนเทนเนอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และคลาวด์
รับมือการทำงานได้จากทุกที่ (Anywhere Workspace)
วีเอ็มแวร์ได้เผยตัวเลขว่า 74% ของพนักงานมีการทำงานแบบไฮบริดร่วมกันระหว่างเข้าออฟฟิศและทำงานจากบ้าน ขณะที่ 84% มีการจัดหาเครื่องมือที่ชาญฉลาดสำหรับการทำงานแบบดิจิทัลมากขึ้น ดังนั้น องค์กรจึงต้องมีโซลูชันที่ดีพอในการจัดการทรัพยากรที่รวดเร็ว การปกป้องข้อมูลและควบคุมการเข้าถึงแอพพลิเคชันจากอุปกรณ์ต่างๆ ได้ดี อย่างไรก็ตาม การทำงานบนสภาพแวดล้อมและแอพพลิเคชันใหม่ๆ จากทุกที่ ทำให้กรอบความปลอดภัยเดิมที่เคยควบคุมได้หายไป
ครบทุกมิติด้วยความปลอดภัย (Intrinsic Security)
โลกดิจิทัลทำให้องค์กรต้องมีมุมมองความปลอดภัยไอทีที่กว้างขึ้น การสร้างระบบความปลอดภัยที่เข้มแข็งจะต้องครอบคลุม 5 เป้าหมายสำคัญ ได้แก่ 1.เครื่องใช้งานปลายทาง (Endpoint) 2.ปริมาณงาน (Workloads) ที่เกิดจากแอปพลิเคชันหรือกระบวนการพัฒนา (DevOps) 3. คลาวด์ 4.เน็ตเวิร์ค และ 5.ระบบระบุตัวตน (Identity System) ส่วน 3 แนวทางการจัดการให้เกิดประสิทธิภาพสูง คือ 1.จัดหาอุปกรณ์ที่ฝังระบบความรักษาปลอดภัยในตัว 2.ปรับเปลี่ยนระบบความปลอดภัยที่เคยแยกส่วนทำงาน (Silo) มาเป็นการบริหารแบบองค์รวม (Unified) และ 3.ไม่จำกัดการสอดส่องเฉพาะภัยคุกคามไซเบอร์ (Threat Centric) อย่างมัลแวร์ แรนซั่มแวร์ แต่ต้องมองถึงบริบทโดยรอบ (Context Centric) เช่น พฤติกรรมที่ผิดปกติโดยผู้ใช้งาน เพื่อครอบคลุมทุกความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด
ด้วย 5 กลยุทธ์ไอทีและเทคโนโลยีจากวีเอ็มแวร์ จะทำให้องค์กรสามารถเดินหน้าธุรกิจยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย
#กลยุทธ์ไอทียุค #NextNormal #บริษัทยิบอินซอยจำกัด #ThaiSMEs