เอชพีอี ผนึก สวทช. ยกระดับ วทน.ไทย ด้วยระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ประสิทธิภาพสูงสุดในอาเซียน

กองบรรณาธิการ

เอชพีอี ผนึกศูนย์ไทยเอสซี ภายใต้สวทช. ยกระดับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ไทย ด้วยระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ประสิทธิภาพสูงสุดในอาเซียน  เพื่อรองรับการวิจัยและประมวลผลข้อมูลขั้นสูง เผยผลงานล่าสุดประมวลผลข้อมูลทางพันธุกรรมของไวรัส เพื่อหาแนวทางป้องกัน และรักษาโรคโควิด หลายหน่วยงาน รวมถึงการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นPM2.5 ได้ล่วงหน้า3 วัน

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่าระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เป็นเรื่องสำคัญของประเทศ การใช้ Supercomputer ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดในการวิจัย การพัฒนานวัตกรรม การทำนาย คาดการณ์สถานการณ์ต่างๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว สึนามิ PM2.5 ถือว่าเป็นการต่อยอดจากที่ทั้ง 2 ท่านได้วางรากฐานไว้ โดยมุ่งหวังให้ สวทช. วางแผนดำเนินการใช้ประโยชน์ Supercomputer จากบริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) หรือ เอชพีอี มาเพิ่มความสามารถของวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยก้าวหน้า เช่น ด้านเทคโนโลยี วิศวกรรม เทคโนโลยีขั้นสูง การเพิ่มสมรรถนะความเร็วของคอมพิวเตอร์ และ AI เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเองเป็นหลัก นอกจากนี้ยังต้องเร่งทำความเข้าใจแก่ประชาชน หน่วยงานต่างๆ และผู้บริหารประเทศให้เห็นถึงนัยยะความสำคัญของการมี Supercomputer เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศอย่างกว้างขวาง

นายพลาศิลป์ วิชิวานิเวศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย)หรือ เอชพีอี  กล่าวว่าศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูงหรือไทยเอสซี (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC) ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (National S&T Infrastructure) ของ สวทช. ในการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงขนาดใหญ่ หรือซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputer)  เพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม(วทน.)ในระดับประเทศ

ทั้งนี้บริษัทฯ ได้นำเสนอระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นที่ดีที่สุดของ Hewlett Packard Enterprise (HPE) คือ HPE Cray EX supercomputer ที่ประกอบด้วย CPU รุ่นล่าสุดจาก AMD EPYCTM เจนเนอเรชั่น ที่ 3 (Milan) จำนวน 496CPUs/ 31,744 cores และมี 704NVIDIA A100 GPU ที่ได้ประสิทธิภาพการประมวลผลในทางทฤษฎี (peak performance) ถึง 13 Petaflop ซึ่งจะเป็นระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพการคำนวณสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการจัดอันดับประสิทธิภาพซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โดย top500.org และมีขีดความสามารถการคำนวณที่สูงกว่าระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงที่ สวทช. มีอยู่เดิม (ระบบ TARA) ถึง 30 เท่า อีกทั้งมีการระบายความร้อนด้วยของเหลว (liquid cooling) ที่ให้ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานไฟฟ้า (PUE) ที่ดีที่สุด โดยมีระบบจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูงอย่าง Cray ClusterStor E1000 ที่มีความจุรวม 12 เพตะไบต์ (petabytes) เชื่อมต่อด้วย HPE Slingshot Interconnect ที่ความเร็ว 200 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps) ระบบดังกล่าวคาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จและเปิดใช้งานในปี 2565

ด้าน ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง หรือไทยเอสซี (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC) เป็นหนึ่งในหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (National S&T Infrastructure) ของ สวทช. เพื่อสนับสนุนนักวิจัยทั้งจากสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัยฯ ทั้งจากภาครัฐ และเอกชน โดยที่ระบบใหม่นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับนักวิจัย ได้แก่

•          ปัญญาประดิษฐ์ และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Artificial Intelligent & Big Data Analytics) ต้องใช้ระบบ HPC ในขั้นตอนการสอน AI โมเดล (training) ที่มีความซับซ้อนและแม่นยำสูงโดยใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ในการพัฒนา

•          พันธุวิศวกรรม และ ชีวสารสนเทศเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ (Genomics and Bioinformatics for medical research) ที่ต้องจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลรหัสพันธุกรรมปริมาณมหาศาลของคน พืช และสัตว์ เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ต่อยอดในงานวิจัยหรือการพัฒนา อาทิ การพัฒนาระบบการแพทย์แม่นยำ และการยกระดับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เพื่อตอบสนองการพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระของชาติในปัจจุบัน

•          การจำลองอนุภาคในระดับนาโน และอะตอมสำหรับการวิจัยวัสดุขั้นสูง (Nanoscale and atomistic-scale simulations for advanced materials research) เช่น การพัฒนายา วัคซีน อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ แบตเตอรี่ และการพัฒนาวัสดุล้ำยุคต่างๆ

•          การทำแบบจำลองทางวิศวกรรม สำหรับการวิจัยทางอุตสาหกรรม (Engineering simulations for industrial research) เช่น การทดสอบประสิทธิภาพของยานยนต์ในด้านความเร็วและความปลอดภัย เพื่อลดการลงทุนสร้างต้นแบบเทคโนโลยี

•          บรรยากาศศาสตร์ และการจัดการภัยพิบัติ (Atmospheric science and disaster management) เช่น การคำนวณคาดการณ์สภาพอากาศ การจำลองภัยพิบัติ หรือคาดการณ์ระดับค่ามลพิษของประเทศ เพื่อแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถรับมือกับเหตุการณ์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ปัจจุบันไทยเอสซี (ThaiSC) ให้บริการการประมวลผลประสิทธิภาพสูง  (High Performance Computing: HPC) ภายใต้ระบบคลัสเตอร์ TARA HPC ที่ประกอบด้วย 4,320 cores และ 28 NVIDIA V100GPU โดยมีพื้นที่เก็บข้อมูล 750 เทระไบต์ (TB) เชื่อมต่อบนระบบเครือข่ายความเร็ว 100 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps) โดยให้บริการกับโครงการวิจัยภายใน สวทช. เป็นหลัก และได้มีการเปิดรับโครงการจากภายนอก สวทช. ทั้งจากภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน

“ในช่วงวิกฤต โควิด-19 ทางไทยเอสซี ได้มีโอกาสช่วยสนับสนุนการวิจัยและประมวลผลข้อมูล ทางพันธุกรรมของไวรัส (Genomes) เพื่อหาแนวทางป้องกัน และรักษาโรคโควิด-19 อาทิ การสนับสนุนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการดำเนินโครงการคัดสรรสารออกฤทธิ์ต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ด้วยเทคนิคทางเคมีคำนวณขั้นสูง เพื่อใช้ Supercomputer ในการคัดกรองสารออกฤทธิ์ที่มีอยู่ในยารักษาโรคที่มีการใช้งานอยู่เดิม ว่าสามารถนำมาใช้ในการยับยั้งการทำงานของไวรัส SARS-CoV-2 หรือไวรัสก่อโรคโควิด-19 ได้หรือไม่ เพื่อช่วยลดระยะเวลาในการผลิตยา (ขณะนั้นยังไม่มียารักษาโรคโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ) และได้ให้บริการแก่กลุ่มวิจัย COVID-19Network Investigations (CONI) ในการใช้ Supercomputer เพื่อการดำเนินโครงการถอดรหัสจีโนมไวรัสสายพันธุ์ SARS-CoV-2 ที่ระบาดในประเทศไทย โดยใช้ Supercomputer ในการประมวลผลยืนยันสายพันธุ์ไวรัส SARS-CoV-2 ลดเวลาในการคำนวณจาก 1 สัปดาห์ เหลือเพียง 2 ชั่วโมง ทำให้สามารถส่งมอบข้อมูลสายพันธุ์ไวรัส SARS-CoV-2 ที่กำลังระบาดให้แก่หน่วยงานทางการแพทย์ สำหรับนำไปใช้ในการวางแผนรับมือการระบาดของโรคได้ทันการณ์ นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับ กรมควบคุมมลพิษ พัฒนาการใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์เฉพาะทาง ด้านมลพิษทางอากาศ (WRF-chem) เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือพีเอ็ม 2.5 ได้เร็วขึ้นถึง 15 เท่า ทำให้กรมควบคุมมลพิษสามารถคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง อาทิ 9 จังหวัดในภาคเหนือของประเทศ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ได้ล่วงหน้าถึง 3 วัน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนรับมือได้ทันต่อสถานการณ์” ดร. ณรงค์ กล่าว

ดร.ปิยวุฒิ ศรีชัยกุล ผู้อำนวยการศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThaiSC) สวทช. กล่าวว่า ThaiSC มีทีมนักวิจัยและวิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีด้านการคำนวณขั้นสูง (HPC Specialist) ที่สามารถให้คำแนะนำเรื่องการใช้ Supercomputer กับงานวิจัยหลายด้าน โดยเฉพาะใน 4 สาขาหลัก ได้แก่ ชีวสารสนเทศ (Bioinformatics), การจำลองแบบวิศวกรรม (Engineering Simulations), เคมี-ฟิสิกส์ และ AI (Artificial Intelligence) โดยศูนย์ ThaiSC ยังมีเครือข่ายความร่วมมือด้านวิจัยพัฒนากับศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ชั้นนำทั่วโลก รวมไปถึงมีพันธกิจในการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญ HPC ในประเทศซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงและยกระดับ วทน. ให้กับประเทศในอนาคต โดยมีแผนจะเปิดให้บริการกับผู้ใช้งานทั่วประเทศในปี 2565

#เอชพีอี #สวทช #ระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ #ศูนย์ไทยเอสซี #ThaiSMEs

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Follow by Email
Pinterest
LinkedIn
Share