กองบรรณาธิการ
บริษัท วีแกนเนอรี จำกัด และ บริษัท มอร์ฟู้ดส์อินโนเทค จำกัด ร่วมตอบรับกระแสการบริโภคแพลนต์เบสในประเทศไทย เปิดตัว 4 เมนูแพลนต์เบสพร้อมรับประทาน หรือ Ready to Eat ได้แก่ สปาเก็ตตี้โบโลเนส เกี๊ยวเนื้อจากพืชสไตล์เกาหลี ลาซานญ่าชีสถั่วหิมพานต์ และ สปาเก็ตตี้ซอสแกงเขียวหวาน ตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มวีแกนและ รักสุขภาพ ให้มีทางเลือกในการรับประทานและการเลือกซื้อที่มากขึ้น สามารถเลือกซื้อได้ทางร้านวีแกนเนอรี (สาขาพร้อมพงษ์), ร้านค้าออนไลน์
นางสาวณปภัสสร ต่อเทียนชัย CEO และรองประธานกรรมการ บริษัท วีแกนเนอรี จำกัด ผู้นำด้านธุรกิจร้านอาหารวีแกนของกรุงเทพฯ และประเทศไทย กล่าวว่า กระแสการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในประเทศไทยกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีปัจจัยจากการระบาดของเชื้อโควิด – 19 ที่ทำให้คนไทยในหลาย ๆ พื้นที่หันมาใส่ใจและเลือกรับประทานอาหารที่ให้คุณประโยชน์กับร่างกาย รวมทั้งตอบรับกับกระแสการดูแลสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเทรนด์การลดการบริโภคอาหารที่มาจากสัตว์ เช่น เนื้อ นม ไข่ ชีสฯลฯ ทำให้ตลาดของผลิตภัณฑ์อาหารประเภท วีแกน และ แพลนต์เบส ในประเทศไทยเติบโตมากซึ่งในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าทั้งกลุ่มร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ และซูเปอร์สโตร์ได้มีการพัฒนาเมนูต่าง ๆ ที่ใช้วัตถุดิบแพลนต์เบส รวมถึงเพิ่มพื้นที่ในการวางจำหน่ายเทียบเท่ากับการจำหน่ายเนื้อสัตว์จริง และคาดว่ารูปแบบการบริโภคนี้จะยังคงเติบโตต่อเนื่องและมีแนวโน้มขยายตัว 8 – 10% ต่อปี ซึ่งในปีนี้มีการประเมินว่าตลาดโปรตีนทางเลือกในไทยที่มีมูลค่ากว่า 3.62 หมื่นล้านบาท (ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
นางสาวณปภัสสร กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้ตอบโจทย์กับกระแสการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้นล่าสุด วีแกนเนอรี : Veganerie จึงได้ขยายธุรกิจจากเดิมที่เป็นร้านอาหารสำหรับลูกค้าวีแกนไปสู่ผู้ผลิตอาหารพร้อมรับประทาน โดยได้ร่วมมือกับบริษัท มอร์ฟู้ดส์อินโนเทค ผู้พัฒนาแพลนต์เบสสัญชาติไทยภายใต้แบรนด์ มอร์มีท : More Meat” ออก 4 เมนูแพลนต์เบส Ready to eat ได้แก่ สปาเก็ตตี้โบโลเนส เกี๊ยวเนื้อจากพืชสไตล์เกาหลี ลาซานญ่าชีสถั่วหิมพานต์ และสปาเก็ตตี้ซอสแกงเขียวหวาน โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะอยู่ในจุดที่ ส่งเสริมกันและกันซึ่งทางวีแกนเนอรีได้นำแพลนต์เบสของมอร์มีทมาปรุงเป็นอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน คาดว่าจะช่วยให้เข้าหากลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้นและกว้างขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้อย่างสะดวกที่บ้าน โดยที่รสชาติและคุณภาพดีเยี่ยมเหมือนทานที่ร้าน ส่วนปัจจัยที่เลือกมอร์มีเป็นพาร์ทเนอร์เนื่องจากมีแนวคิด – วิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจที่คล้ายกัน คือต้องการพัฒนาอาหารแพลนต์เบสเพื่อสุขภาพ อร่อย รสชาติเข้าถึงผู้บริโภคทุกคน พร้อมทั้งต้องการดึงคนที่ไม่เคยรับประทานแพลนต์เบสให้หันมาลองทานอาหารแนวนี้นอกจากนี้ยังตรงกับเป้าหมายของวีแกนเนอรีเองคือการสนับสนุนไลฟ์สไตล์วีแกน ที่เป็นผลดีต่อทุก ๆ ด้าน ทั้งสุขภาพ สัตว์โลก และสิ่งแวดล้อม ที่แสดงถึงความยั่งยืนอย่างแท้จริง เพราะที่ผ่านมาคนมักมองว่าการทานผัก หรือทานแพลนต์เบสนั้นเป็นเรื่องยากซึ่งทั้ง 4 เมนูจะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกและรับประทานแพลนต์เบสได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน
ด้านนางสาวกัญญ์วรา ธนโชติวรพงศ์ CEO และ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มอร์ฟู้ดส์อินโนเทค จำกัด ผู้พัฒนาแพลนต์เบสแบรนด์ มอร์มีท (More Meat) กล่าวว่าที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ของมอร์มีทจะเน้นเป็นแพลนต์เบสพร้อมปรุงซึ่งเป็นการขายเพื่อให้ผู้บริโภคหรือลูกค้านำไปประกอบอาหารเองได้ตามใจชอบ เพื่อให้ได้เมนูที่หลากหลายตามความชอบของแต่ละคน แต่การร่วมมือกับวีแกนเนอรีครั้งนี้ ทั้งสองแบรนด์จะเน้นไปที่การทำอาหารพร้อมรับประทาน โดยการนำเอาแพลนต์เบสของมอร์มีทมาเป็นส่วนประกอบในแต่ละเมนู เพื่อให้ลูกค้าเลือกซื้อหรือรับประทานได้อย่างหลากหลาย และทำให้ลูกค้าเข้าถึงการบริโภคแพลนต์เบสได้มากยิ่งขึ้นโดยคาดว่าหลังจากได้มีการจำหน่ายทั้ง 4 เมนูนี้ ทั้งมอร์มีท และวีแกนเนอรี่จะได้ฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นทั้งกลุ่มของคนรักสุขภาพ กลุ่มที่ต้องการควบคุมอาหารกลุ่มที่ลดการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นแฟนคลับของแต่ละแบรนด์อีกด้วย
สำหรับเป้าหมายและแนวทางการทำธุรกิจอาหารแพลนต์เบสของมอร์มีทในต่อจากนี้ ยังคงคอนเซ็ปต์เพื่อสุขภาพและความยั่งยืน แต่จะเน้นการพัฒนาอาหารที่พร้อมรับประทานให้มากขึ้น โดยเลือกใช้พืชท้องถิ่นใหม่ๆมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ ควบคู่กับการวิจัยคุณประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร เพื่อตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้บริโภคและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น และในปี 2565 ยังมองเรื่องการส่งออกสินค้าไปขายในต่างประเทศทั้งในแถบเอเชีย และยุโรป โดยเฉพาะในส่วนหลังที่ตลาดนั้นค่อนข้างกว้าง และมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิมให้ดียิ่งขึ้นและร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ใหม่ๆทั้งในและนอกตลาด
#วีแกนเนอรี #มอร์มีท #เรดี้ทูอีท #ตลาดสุขภาพ #ThaiSMEs