สมาร์ทฟินน์ จับมือ SME D Bank ยกระดับองค์กรเตรียมความพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์

กองบรรณาธิการ

สมาร์ทฟินน์ ผนึก ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank โดยกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (กองทุนย่อยกองที่ 1) ประสานพลัง ร่วมทุน ดันธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน หวังช่วยผู้ประกอบการ SMEs และบุคคลทั่วไป เข้าถึงแหล่งทุน ผ่านแพลตฟอร์มจับคู่ขายฝากอสังหาริมทรัพย์ โดยมีโฉนดบ้าน ที่ดิน และคอนโดเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ชูจุดแข็งแพลตฟอร์มขายฝากที่ได้มาตรฐาน สร้างความเป็นธรรมระหว่างผู้รับซื้อฝากและผู้ขายฝากที่ต้องการเงินทุน พร้อมดำเนินธุรกิจถือหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรงไปตรงมาและตรวจสอบได้

ดร.ปริสุทธิ์ รัตนมหาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สมาร์ทฟินน์ โซลูชั่นส์ จำกัด กล่าวว่า สมาร์ทฟินน์ ขึ้นแท่น Matching Platform อันดับ 1 ที่ได้มาตรฐานรายแรกของประเทศไทย โดยเน้นการจับคู่ระหว่างผู้รับซื้อฝากใจดีจากทั่วประเทศแบบถูกต้องตามกฎหมาย กับกลุ่มผู้ที่ต้องการเงินทุนหรือผู้ขายฝาก โดยมีโฉนด น.ส.4 หรือ หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อ.ช.2) เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการทำสัญญาขายฝาก พร้อมรับเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยต่ำ 9 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี และมีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาในการทำธุรกรรม เพื่อให้ผู้ขายฝากได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดภายใต้มาตรฐานที่เป็นธรรม ถูกต้องตามกฎหมายและปลอดภัย  สมาร์ทฟินน์เป็นมากกว่าช่องทางในการเข้าถึงแหล่งทุน แต่เราคือสะพานเชื่อมระหว่างโอกาสและความสำเร็จด้วยบริการที่เน้นธรรมาภิบาลและความโปร่งใส ดร.ปริสุทธิ์ กล่าว

ในภาวะที่เศรษฐกิจทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทาย ธุรกิจ SMEs จำนวนมากต้องดิ้นรนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อนำมาเสริมสภาพคล่องหรือต่อยอดการพัฒนาธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า แต่ด้วยเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อของธนาคาร และข้อจำกัดในกระบวนการอนุมัติสินเชื่อ ส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs จำนวนหนึ่งที่ไม่ได้รับการพิจารณาสินเชื่อ และต้องหันไปพึ่งเงินกู้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูงถึง 24-36 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี ในขณะที่อัตรากำไรเฉลี่ยของธุรกิจ SMEs อยู่ในระดับ 10-15 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น สมาร์ทฟินน์มองเห็นถึงปัญหาและมุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการ SMEs ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มการจับคู่ขายฝากอสังหาริมทรัพย์ ที่เปิดโอกาสให้ผู้มีโฉนดที่ดิน หรือ กรรมสิทธิ์ห้องชุดสามารถใช้ทรัพย์สินของตนเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุน

แพลตฟอร์มของสมาร์ทฟินน์ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่าง ผู้รับซื้อฝากใจดี และ ผู้ขายฝาก โดยใช้โฉนดที่ดินเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน มีการประเมินราคากับบริษัทเอกชนที่อยู่ในการกำกับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เพื่อกำหนดวงเงินที่เหมาะสมกับคุณภาพของสินทรัพย์ สร้างความเป็นธรรม และช่วยป้องกันการถูกกดราคา โดยผู้ขายฝากสามารถทำธุรกรรมได้สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเตรียมเอกสารเยอะเพราะไม่เช็กเครดิตบูโร และประวัติการเดินบัญชี โดยตลอดอายุสัญญาผู้ขายฝากสามารถทำประโยชน์บนทรัพย์ขายฝากได้ตามปกติ เช่น พักอาศัย ปล่อยเช่า ทำธุรกิจ ทำการเกษตร เป็นต้น และสามารถแจ้งไถ่ถอนสินทรัพย์ได้ตลอดเวลา โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยให้การดูแลและอำนวยความสะดวกในทุกขั้นตอน ด้านผู้รับซื้อฝากใจดี ก็สามารถเข้าถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพและรับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากทั้งผู้รับซื้อฝากและกลุ่มบรรดาเจ้าของธุรกิจเป็นอย่างดีมาตลอดระยะเวลามากกว่า 8 ปี สามารถปิดดีลมูลค่าทรัพย์ขายฝากไปแล้วกว่า 10,800 ล้านบาท

ดร.ปฏิมากร ใจอ่อน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ กล่าวเสริมว่า ในปี 2568 เป็นอีกก้าวสำคัญของสมาร์ทฟินน์ ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยการร่วมลงทุนกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank โดยกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (กองทุนย่อยกองที่ 1) ความร่วมมือนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสนับสนุนด้านเงินทุน แต่ยังรวมถึงเสริมศักยภาพของสมาร์ทฟินน์ในหลายมิติ ทั้งแนวทางกำกับดูแลกิจการที่ดี และการยกระดับมาตรฐานองค์กร เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพพร้อมเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างมั่นคง

เป้าหมายของการร่วมทุนระหว่างสมาร์ทฟินน์ กับ SME D Bank ครั้งนี้ เพื่อช่วยขยายการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ  โดยเงินทุนจากการร่วมลงทุนนี้ จะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ อาทิ การขยายพื้นที่ให้บริการรับขายฝากอสังหาริมทรัพย์จากเดิมครอบคลุมอยู่ในพื้นที่ กรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ๆ ใน 46 จังหวัด ตั้งเป้าขยายพื้นที่รับขายฝากอสังหาริมทรัพย์ให้ครอบคลุมต่างจังหวัดมากขึ้น รวมถึงขยายผลสัมฤทธิ์ด้านทีมงาน การตลาด และการเชื่อมต่อเทคโนโลยีการเงิน สร้างประโยชน์สนับสนุนให้ธุรกิจ SMEs และบุคคลทั่วไป ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนถูกกฎหมายอย่างสะดวก และรวดเร็ว พร้อมขับเคลื่อนและผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไป

และในระยะยาวกองทุน SMES (กองทุนย่อยที่ 1) จะช่วยขยายตลาดของสมาร์ทฟินน์และสร้างรากฐานที่มั่นคง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต การร่วมมือกับ SME D Bank ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยให้สมาร์ทฟินน์สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง พร้อมผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน” ดร.ปฏิมากร กล่าว

#สมาร์ทฟินน์ #SMEDBank #ThaiSMEs

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Follow by Email
Pinterest
LinkedIn
Share