ดีอี ผนึก พันธมิตร ตัดตอนบัญชีม้า 650,000 บัญชีเล็งลดปัญหาบัญชีม้า ผ่านมาตรการ Mobile banking เริ่ม 1 ก.พ.-30 เม.ย. 2568

กองบรรณาธิการ

ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นประธานแถลงข่าว การดำเนินมาตรการ การยกระดับความปลอดภัยในการใช้ Mobile banking โดยปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ใช้โทรศัพท์ 120 ล้านหมายเลข ที่เปิดบัญชีธนาคาร Mobile banking แบ่งเป็นบัญชี Mobile banking ที่สามารถตรวจสอบได้ 75.8 ล้านบัญชี จำนวน 30.9 ล้านบัญชีใช้หมายเลขโทรศัพท์ไม่ตรงกับบัญชี Mobile banking และไม่สามารถตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์และบัญชี Mobile banking จำนวน 13.5 ล้านบัญชี 

ประเสริฐ จันทรรวงทอง กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดให้การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และบัญชีม้า เป็นนโยบายสำคัญ โดยจากมติที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้มอบหมายให้ ปปง. ธปท. กสทช. สมาคมธนาคารไทย และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ยกระดับความปลอดภัยการใช้งาน Mobile banking ซึ่งเป็นการสกัดกั้นบัญชีม้าที่เป็นเส้นทางก่ออาชญากรรมของมิจฉาชีพให้ชื่อผู้ใช้งานตรงกับชื่อเจ้าของซิมมือถือ

ดังนั้นกระทรวงดีอี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกำหนดมาตรการการดำเนินการตรวจสอบรายชื่อเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และเจ้าของบัญชีธนาคาร Mobile banking หรือ การ Cleaning Mobile banking เพื่อให้ชื่อผู้ใช้งาน Mobile banking ตรงกับชื่อเจ้าของซิมหมายเลขโทรศัพท์มือถือ โดย กสทช. และ Telco (ผู้ให้บริการโทรคมนาคม) สำนักงาน ปปง. ธปท. และธนาคาร ได้ดำเนินการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์จำนวนกว่า 120 ล้านหมายเลข แล้วเสร็จเมื่อสิ้นเดือน พฤศจิกายน 2567 และได้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

– กลุ่มที่ 1 ลูกค้าที่ Telco แจ้งเป็น M (ชื่อเจ้าของซิม และ Mobile banking ตรงกัน) มีจำนวนประมาณ 75.8 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 63.02

– กลุ่มที่ 2 ลูกค้าที่ Telco แจ้งเป็น N (ชื่อเจ้าของซิม และ Mobile banking ไม่ตรงกัน) มีจำนวนประมาณ 30.9 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 25.68

– กลุ่มที่ 3 ลูกค้าที่ Telco แจ้งกลับมาเป็น P (ไม่พบชื่อเจ้าของซิม/ไม่มีข้อมูล) มีจำนวน 13.5 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 11.29

ในส่วนของขั้นตอนการดำเนินการมีดังนี้

– ธนาคารจะดำเนินการแจ้งประชาชน (ลูกค้าในกลุ่มที่ 2 (N) และกลุ่มที่ 3 (P) ) ผ่านช่องทาง Mobile banking ของแต่ละธนาคาร ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 โดยประชาชนที่ได้รับแจ้งต้องดำเนินการอัพเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิม  และชื่อผู้ใช้งาน Mobile banking ให้ตรงกัน ภายในเวลา 90 วัน (สิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2568) หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ปปง. ธปท. และ กสทช. จะพิจารณาระงับการใช้งาน Mobile banking เป็นการชั่วคราวต่อไป

สำหรับ กลุ่ม N (เจ้าของซิม และ Mobile banking ไม่ตรงกัน) บัญชีต่างชาติ กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 และเปิดใช้งาน Mobile banking ก่อนปี พ.ศ. 2566 ที่มีชื่อเจ้าของซิม กับชื่อผู้ใช้งาน Mobile banking ไม่ตรงกัน ประชาชนสามารถดำเนินการได้ดังนี้

-กรณีหมายเลขโทรศัพท์มือถือมีชื่อเจ้าของซิมไม่ตรงกับชื่อ ผู้ใช้งาน Mobile banking สามารถติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปลี่ยนเจ้าของซิม หรือติดต่อธนาคารที่ใช้งาน Mobile banking เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ผูกกับ Mobile banking ของธนาคาร เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งาน Mobile banking ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile banking อาจถูกระงับการใช้งาน 

ในส่วนของ กลุ่ม P (ไม่พบชื่อเจ้าของซิม) กลุ่มลูกค้าที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 และเปิดใช้งาน Mobile banking ก่อนปี พ.ศ. 2566  ที่ตรวจสอบจากค่ายมือถือแล้ว แต่ไม่พบชื่อเจ้าของซิม (ดำเนินการพร้อมกัน 2.4 ล้านเลขหมาย) โดยกรณี หมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ใช้ลงทะเบียนกับธนาคารมีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ สามารถติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือที่ใช้บริการด้วยตนเอง เพื่อดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่

-ลงทะเบียนชื่อเจ้าของซิมให้ตรงกับชื่อผู้ใช้งาน Mobile banking หรือ ลงทะเบียนชื่อเจ้าของซิมเป็นชื่อตาม

ที่ประสงค์ที่เข้าเกณฑ์การจดทะเบียนซิมได้ตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ (ธนาคารไม่สามารถดำเนินการในส่วนนี้แทนได้) พร้อมบัตรประชาชน เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile banking อาจถูกระงับการใช้งาน

-ลูกค้าที่ได้รับแจ้ง ต้องดำเนินการอัพเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิม และชื่อผู้ใช้งาน Mobile banking ให้ตรงกัน ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ปปง. ธปท. และ กสทช. จะพิจารณาระงับการใช้งาน Mobile banking เป็นการชั่วคราวต่อไป

กรณีของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้รับการแจ้งผ่านช่องทาง Mobile banking ของแต่ละธนาคาร ยังไม่ต้องดำเนินการใด ๆ และสามารถใช้ Mobile banking ได้ตามปกติ แม้ชื่อเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์จะไม่ตรงกับเจ้าของ Mobile banking

อย่างไรก็ตาม กระทรวงดีอี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการพิจารณายกเว้น ในกลุ่มบุคคลดังต่อไปนี้

1.เบอร์มือถือที่จดทะเบียนในชื่อหน่วยงานราชการ (เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด) หรือองค์กรที่ใช้โดยพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ จะได้รับการพิจารณาเป็นข้อยกเว้น และไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามมาตรการนี้

2.ลูกค้าที่มีความจำเป็น หรือข้อจำกัดเฉพาะ เช่น ไม่สามารถเปลี่ยนเบอร์มือถือได้ เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมาย หรือเอกสาร สามารถยื่นคำขอยกเว้น พร้อมเอกสารประกอบแสดงเหตุผลต่อธนาคาร

3.กลุ่มบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ บุตร พี่น้อง ปู่ ย่า ตายาย คู่สมรส (จดทะเบียน) โดยจะต้องแสดงเอกสารความสัมพันธ์ต่อธนาคาร ได้แก่ เอกสารที่ออกโดยหน่วยงานราชการ เช่น ทะเบียนบ้าน สูติบัตร ทะเบียนสมรส เป็นต้น และเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ ค่าโทรศัพท์

4.นิติบุคคล ได้แก่ บริษัทเอกชน หรือนิติบุคคลตามกฎหมาย (กรณีที่ลงทะเบียนในนามนิติบุคคล และให้พนักงานในองค์กรใช้งาน) จะต้องมีเอกสารรับรองจากบริษัท ที่มีข้อความระบุชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และอนุญาตให้ใช้เบอร์โทรศัพท์ผูก Mobile Banking

5.ผู้ที่ต้องได้รับความดูแลตามกฎหมาย ได้แก่ ผู้ไร้ความสามารถ ผู้เสมือนไร้ความสามารถ และผู้พิการ จะต้องนำเอกสารตามคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้อนุบาล หรือเอกสารตามคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้พิทักษ์ บัตรผู้พิการ หรือเอกสารที่หน่วยงานราชการออกให้ มายื่นแสดงต่อธนาคาร

“มาตรการนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.68 ซึ่งประชาชนที่จะต้องดำเนินการติดต่อธนาคาร จะได้รับการแจ้งเตือนผ่าน Mobile banking ของธนาคารโดยตรงเท่านั้น จะไม่มีการแจ้งเตือนประชาชนผ่านช่องทางอื่นๆ ที่ไม่ใช่ Mobile banking เพื่อป้องกันมิจฉาชีพหลอกลวง โดยการยกระดับมาตรการด้าน Mobile banking เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับการทำงานร่วมกันของกระทรวงดีอี กสทช. ปปง. ภาคธนาคารและภาคโทรคมนาคม เพื่อยกระดับการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญากรรมออนไลน์ของกลุ่มมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อสักดเส้นทางการใช้บัญชีม้าในการหลอกลวงประชาชน ซึ่งรัฐบาลถือว่าเป็นนโยบายที่สำคัญ” ประเสริฐ กล่าว

พลตำรวจตรีเอกธนัช ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและ

ปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า จากปัจจุบันที่มีการดำเนินการตรวจสอบของ ปปง. ในช่วงปี 2565-2567 มีการจดทะเบียน Mobile banking สูงสุด ที่ 2.3 ล้านบัญชี และเป็นบัญชีต่างด้าวที่มีความเสี่ยงประมาณ 8 แสนบัญชีโดยทั้งหมด คิดเป็นบัญชีของคนไทยในสัดส่วน 99.2 เปอร์เซ็นต์และยังไม่สามารถระบุจำนวนเงินที่ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้หากเจ้าของบัญชีที่ไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ตรงกับบัญชีที่ใช้งานจะมีการปิดการใช้งานบัญชี Mobile banking ภายในเดือนพฤษภาคม และสำหรับบัญชีที่เป็นที่สงสัย ธนาคารจะแจ้งให้เจ้าของบัญชีทราบผ่านแอปพลิเคชั่นของธนาคารโดยตรง เพื่อยกระดับคงามปลอดภัยและจะไม่มีการแจ้งผ่านระบบ SMS โดยเด็ดขาด

สำหรับบัญชีดำ หรือบัญชี Mobile banking ที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ปัจจุบันมีจำนวน 700,000 บัญชี มีการสั่งระงับการทำธุรกรรมผ่าน Mobile banking จำนวน 650,000 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงินที่ตกค้างในระบบ 2,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากเจ้าของบัญชีสามารถแจกแจงรายละเอียดที่มาของหมายเลขบัญชี Mobile banking กับหมายเลขโทรศัพท์ได้สามารถคืนเงินได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งศาล

ประเสริฐ กล่าวว่า จากมาตรการ ตรวจสอบ มาตรการ Mobile banking อยากจะให้สามารถลดปัญหาที่เกิดขึ้นเหลือ ศูนย์ภายในสิ้นปีนี้  สำหรับต่างชาติที่ต้องการเปิดบัญชีธนาคารจะต้องชี้แจงเหตุผลในการเปิดบัญชี Mobile banking เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น

#ดีอี #ตัดตอนบัญชีม้า #มาตรการMobileBanking #ThaiSMEs

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Follow by Email
Pinterest
LinkedIn
Share