แพลตฟอร์ม AIP ต้นแบบระบบสนับสนุนการตัดสินใจด้านการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC

กองบรรณาธิการ

แพลตฟอร์ม AIP หนึ่งในบริการภายใต้ โครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา หรือ ธีออส 2 (THEOS-2) ที่สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)  หรือ GISTDA ตั้งเป้าที่จะให้เป็นเครื่องมือหลักในการช่วยคิด ประมวลผล และเสนอแนะแนวทางที่ช่วยสนับสนุนการตัดสินเชิงนโยบายของหน่วยงานภาครัฐที่เหมาะสม สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง  และทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น 

Actionable Intelligence Policy หรือ AIP ได้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเริ่มต้นโครงการธีออส 2 เมื่อปี 2561   และเนื่องจากเป็นแนวคิดที่สนับสนุนการกำหนดนโยบายในระดับพื้นที่ จึงได้มีการทดลองนำกระบวนการทำงานของแพลตฟอร์ม AIP มาใช้กับพื้นที่นำร่อง เพื่อเป็นต้นแบบของการประยุกต์ใช้งานข้อมูลดาวเทียมกับการสนับสนุนเชิงนโยบาย ตั้งแต่ในระยะแรก ๆ เช่นกัน 

ทั้งนี้ โมเดลพื้นที่นำร่องแห่งแรกของการประยุกต์ใช้แพลตฟอร์ม AIP ของ GISTDA ก็คือ ระบบสนับสนุนการตัดสินใจด้านการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC 

ดร.ดิชพงษ์  ภูมิเกียรติศักดิ์   หัวหน้าฝ่ายพัฒนาระบบนวัตกรรมนโยบายเชิงพื้นที่ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA เปิดเผยถึงการเลือกพื้นที่ EEC เป็นพื้นที่นำร่อง ฯ ว่า มาจาก 2 ปัจจัยหลักคือ 1.  รัฐบาลในขณะนั้นให้ความสำคัญกับโครงการ EEC เป็นอย่างมาก และ 2. EEC ยังเป็นพื้นที่ Sandbox ที่ผ่อนปรนกฎระเบียบหรือข้อกฎหมายต่างๆ ทำให้สามารถทดลองระบบในพื้นที่ สามารถเสนอแนะนโยบายที่นำไปสู่การปฏิบัติได้ โดยที่อาจจะไม่ต้องผ่านกระบวนการ หรือขั้นตอนจำนวนมากเหมือนกับพื้นที่อื่น ๆ      

จากการเริ่มต้นเลือกพื้นที่นำร่อง  แต่กว่าจะสำเร็จออกมาเป็นต้นแบบแห่งแรกได้นั้น ใช้เวลากว่า 5 ปี ดร.ดิชพงษ์    บอกว่า เป็นเพราะในช่วงเริ่มต้น ต้องใช้เวลาในการศึกษาโจทย์และทำความเข้าใจกับพื้นที่ค่อนข้างมาก  ซึ่งในพื้นที่ EEC มีความซับซ้อน และมีความท้าทายมากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นในมิติของเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ หรือว่าทรัพยากรธรรมชาติ การทำ AIP ต้องเริ่มจากการทำ Problem Statement เพื่อดูว่าในพื้นที่ EEC มีประเด็นปัญหาอะไรที่จะต้องนำ AIP ไปใช้ เพื่อช่วยสนับสนุนการกำหนดนโยบายที่เหมาะสม

“จากการเข้าไปพูดคุยกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ สำนักงาน EEC พบว่ามีปัญหาจำนวนมากทั้งที่เห็นมาก่อนหน้าและเมื่อเข้าสู่กระบวนการของแพลตฟอร์ม AIP  จนเกิดการตกผลึก โดยในช่วงแรก ๆ มองว่า EEC ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเร่งการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่เนื่องจากสำนักงาน EEC มีแผนด้านเศรษฐกิจที่ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้น GISTDA จึงมองในมิติอื่น ๆ เช่น ในด้านสังคม แต่ GISTDA ก็มีข้อจำกัดในเรื่องข้อมูล ที่ด้านสังคมจำเป็นต้องใช้ข้อมูลเชิงสถิติจำนวนมาก ขณะที่ GISTDA จะเด่นในเรื่องข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมเชิงพื้นที่  ดังนั้นจึงมาลงตัวที่เรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องทรัพยากรน้ำ ที่เป็นปัญหาหลักในพื้นที่  EEC   และเป็นรากฐานในการพัฒนาด้านต่าง ๆ  เช่น หากพัฒนาด้านเศรษฐกิจขึ้นไป จะทำให้มีประชากรมากขึ้น มีนักท่องเที่ยว มีนักลงทุนเข้ามามากขึ้น หากทรัพยากรยังเตรียมไม่พร้อมก็จะเกิดปัญหาแน่นอน

ดังนั้นบทสรุปของการกำหนดโจทย์ หรือประเด็นปัญหา ที่ดำเนินการ ตาม Policy Cycle ที่เป็นหลักการทำงานของแพลตฟอร์ม AIP ก็คือ เรื่อง การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC ซึ่ง GISTDA คิดว่าน่าจะนำแพลตฟอร์ม AIP มาช่วยสนับสนุนได้ดีที่สุด โดยมีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ  (สทนช.) หน่วยงานหลักด้านการบริหารจัดการน้ำของประเทศ เป็นพันธมิตรร่วมทางในการให้ข้อมูล ให้โจทย์ และปัจจุบันกำลังจะนำไปต่อยอดพัฒนาสู่การใช้ประโยชน์ในพื้นที่อื่น ดร.ดิชพงษ์ กล่าวว่า การทำระบบ AIP เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจด้านการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC เป็นการมองในระยะยาว โดยเป็นการคาดการณ์ ถึงปี  2580  ซึ่งเป็นปีที่ EEC ประกาศว่าโครงการจะแล้วเสร็จ ปัจจุบันพื้นที่ EEC มีประชากรประมาณ 3.83 ล้านคน คาดว่าในอนาคตจะมีประชากร 5.98 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณ 2 ล้านคน ภายใน 15 ปี การรับมือกับทรัพยากรน้ำ จึงต้องมีนโยบายรองรับ มีการวางแผนในการรับมือ เช่น มีการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำเพิ่ม  มีการผันน้ำ และต้องมีข้อมูลต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่ทำอะไรเลย  จะเกิดอะไรขึ้น   และถ้าทำตามนโยบายต่างๆ จะเกิดผลอย่างไร  สามารถรู้ผลก่อนได้โดยยังไม่ต้องลงทุนจริง 

ปัจจุบันสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ มีโครงการที่เกี่ยวกับบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC กว่า 30 โครงการการนำแพลตฟอร์ม AIP เข้าไปใช้งาน จะช่วยทำให้สามารถเห็นประเด็นปัญหาได้อย่างชัดเจนมากขึ้น    รู้ว่าเกิดอะไร อยู่ตรงไหน และเกิดขึ้นเวลาใด  ถ้าหากยังไม่มีตัวเลือกนโยบาย ก็สามารถคิดนโยบายตัวเลือกต่าง ๆ ได้ รวมทั้งสามารถจำลองนโยบายที่มีอยู่ให้เห็นผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ในด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องสิ่งแวดล้อม เพื่อประกอบการตัดสินใจ และทำให้เห็นรอบด้านมากขึ้น

“ตัวอย่างการใช้งานแพลตฟอร์ม AIP กับการคาดการณ์สถานการณ์น้ำในพื้นที่ EEC ในปี 2580 พบว่า ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย จะมีดัชนีความเครียดน้ำประมาณ  60 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าน้ำก็ยังคงเพียงพอกับการใช้งานในพื้นที่  แต่นี่คือปริมาณน้ำเฉลี่ยทั้งปี ซึ่งหากดูในช่วงเดือนมีนาคม ที่เป็นช่วงที่แล้งที่สุดของปี ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยจะมีดัชนีความเครียดน้ำสูงถึง 525 เปอร์เซ็นต์ หรือมีความต้องการน้ำมากกว่าน้ำที่มีอยู่กว่า 5 เท่า  แต่หากมีการลงทุนโครงการตามนโยบายที่มีอยู่ แม้จะไม่ครบทุกโครงการ ดัชนีความเครียดน้ำจะเหลือเพียง 1 เท่าหรือประมาณ 102 เปอร์เซ็นต์”  

ปัจจุบัน สทนช.สามารถเข้าไปใช้งานแพลตฟอร์มดังกล่าวได้ และให้ความสนใจในการต่อยอดแพลตฟอร์มสู่การคาดการณ์สถานการณ์ในระยะสั้นมากขึ้น  รวมถึงต้องการขยายผลไปสู่การใช้งานทั่วประเทศ

ล่าสุด GISTDA  ซึ่งมี MOU กับ สทนช.ในการใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อพัฒนานวัตกรรมในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและโครงการด้านน้ำของประเทศ  ได้มีการแต่งตั้ง คณะทำงานโครงการใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ขึ้น โดยจะมีการดำเนินการขยายการใช้งานแพลตฟอร์ม AIP ไปยังพื้นที่อื่น ๆ เพื่อต่อยอดในการคาดการณ์สถานการณ์ที่เป็นระยะสั้นมากขึ้น

คาดว่า การใช้งานแพลตฟอร์ม AIP กับการบริหารจัดการน้ำในระยะสั้นนี้ จะแล้วเสร็จใน 2-3 เดือนข้างหน้า เพื่อที่จะใช้คาดการณ์ฤดูแล้งหน้า ซึ่งจะเริ่มในปลายปีนี้จนถึงต้นปีหน้า และจะมีการขยายผลใช้งานกับพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศต่อไป

#แพลตฟอร์มAIP #GISTDA #ThaiSMEs

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Follow by Email
Pinterest
LinkedIn
Share