Veeam เดินหน้า ชู Data Resilience หนุนธุรกิจไทยพร้อมรับมือ 4 เทรนด์ใหม่ ตั้งเป้าธุรกิจโต 30% ปี 2024

กองบรรณาธิการ

Veeam Software ผู้นำด้าน Data Resilience ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 เปิดเผยว่าอุตสาหกรรมกำลังเผชิญ 4 เทรนด์สำคัญด้านข้อมูลที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ได้แก่ Data Explosion, Infrastructure Complexity, Vendor Lock-In, และการขยายตัวของภัยคุกคามทางไซเบอร์รวมถึงแรนซัมแวร์ที่มีรูปแบบการโจมตีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น องค์กรธุรกิจควรให้ความสำคัญต่อการปกป้องข้อมูลอันเปรียบเสมือนเส้นเลือดขององค์กร ด้วยการใช้แนวทาง Data Resilience

ชัว เช พิน รองประธานบริษัท ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี ของ Veeam Software กล่าวว่า อุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากการใช้งานข้อมูลปริมาณมหาศาล เราพบว่าในปี 2567 มีปริมาณข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ถึง 150 เซตตะไบต์ หรือ 1 พันล้านเทราไบต์ และปริมาณข้อมูลเกิดใหม่นี้จะสูงขึ้นเป็นเท่าตัวทุก ๆ ปี ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความต้องการของธุรกิจในการบริหารจัดการ ปกป้อง และใช้งานข้อมูล ของตนเองเนื่องจากร่องรอยข้อมูลทางดิจิทัลมีความซับซ้อน มีปริมาณสูงขึ้น แนวทางของเราในการช่วยธุรกิจต่าง ๆ สามารถดำเนินได้อย่างราบรื่นแม้กระทั่งภายใต้การท้าทายข้างต้นคือการเสริมแกร่งพวกเขาด้วย Data Resilience

Data Resilience ของ Veeam ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ ได้แก่

– Data Backup: เนื่องจากร้อยละ 96 ของการโจมตีทางไซเบอร์พุ่งเป้ามาที่ข้อมูล ธุรกิจต้องมีการสำรองข้อมูลอย่างเหมาะสม ปลอดภัย มีความมั่นคงในระดับที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนข้อมูลได้ และปราศจากข้อผิดพลาด

– Data Security: ระบบรักษาความปลอดภัยที่ก่อตัวจากโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมแบบ zero-trust ที่มอบความมั่นคง การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล รวมถึงระบบการรักษาความปลอดภัยเชิงรุก เช่น การตรวจสอบภัยคุกคามอย่างละเอียด

– Data Recovery: ในกรณีที่สถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุด ธุรกิจต้องสามารถกู้คืนข้อมูลได้ในทันทีโดยปราศจากการสูญเสียหรือมีการปนเปื้อนของภัยคุกคามแฝงอยู่ภายใน

– Data Freedom: เมื่อมีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี ธุรกิจต้องสามารถโอนย้ายข้อมูลของพวกเขาได้จากทุกที่ ในทุกเวลา และทุกรูปแบบตามที่พวกเขาต้องการ และตอบสนองต่อทุกเงื่อนไขในการปรับเปลี่ยนทางเทคโนโลยี

– Data Intelligence: ใช้ประโยชน์จากศักยภาพของเทคโนโลยี AI ในการดูแลรักษาข้อมูลของธุรกิจให้มีความปลอดภัยและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุด

นายเจษฏา ภาสวรวิทย์ ผู้จัดการอาวุโส ประเทศไทยและฟิลิปปินส์ ของ Veeam Software กล่าวใน ในงาน VeeamON Tour Thailand ว่า อุตสาหกรรมในประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากเทรนด์สำคัญด้านโครงสร้าง 4 ประการที่ธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือ ประกอบด้วย

– Data Explosion อุตสาหกรรมในยุคดิจิทัลนั้น ทุกองค์กรธุรกิจล้วนมีความเป็นธุรกิจซอฟต์แวร์อยู่ในตัว นำไปสู่การสร้างข้อมูลปริมาณมหาศาลที่เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นทวีคูณ อีกทั้งการตื่นตัวต่อเทคโนโลยี AI และ Generative AI ก็กลายเป็นปัจจัยในการเร่งปฏิกิริยาให้เกิดการสร้างข้อมูลใหม่ ๆ โดยปีนี้มีข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นใหม่มากกว่า 150 เซตตะไบต์ จนกล่าวได้ว่า ร้อยละ 90 ของข้อมูลเกิดใหม่ทั่วโลก ล้วนถูกสร้างขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ทุกวันนี้ข้อมูลเปรียบเสมือนสกุลเงินของทุกธุรกิจ การที่องค์กรจะเสริมสร้างความมั่นใจว่าข้อมูลเหล่านี้จะได้รับการปกป้อง มีการบริหารจัดการที่ดี และถูกนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องอาศัยแนวทางที่มีความสมบูรณ์รอบด้านแม้กระทั่งในสภาวะที่ปริมาณข้อมูลเพิ่มจำนวนสูงขึ้น การเลือกใช้แนวทาง data resilience จะช่วยตอบโจทย์ของธุรกิจได้ว่าทุกความต้องการของเขาได้รับการเติมเต็มอย่างทั่วถึง พร้อมทั้งมีความพร้อมต่อการรับมือกับความท้าทายด้านข้อมูลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

– Infrastructure Complexity โดยทั่วไปองค์กรธุรกิจต่าง ๆ ใช้บริการคลาวด์ ระบบรักษาความปลอดภัยแบบ endpoint หรือแม้กระทั่งมีสถานที่ตั้งที่ทำงานมากกว่าหนึ่ง ทำให้การบริหารจัดการและปกป้องข้อมูลที่สำคัญขององค์กรมีความซับซ้อนตามไปด้วย หากโครงสร้างพื้นฐานใดก็ตามขององค์กรล่มขึ้นมา ข้อมูลที่อยู่ในนั้นก็จะล่มตามไปด้วย และสร้างผลกระทบต่อเนื่องเป็นโดมิโน่มาถึงตัวธุรกิจเอง

การป้องกันและจัดการกับความซับซ้อนดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัยแนวทาง data resilience ที่จะใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์และการบูรณาการของบรรดาพันธมิตรคู่ค้า ผู้ให้บริการ และเวนเดอร์ หลาย ๆ รายให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การทำความเข้าใจในการจัดการด้านความแตกต่างของเงื่อนไขการรับผิดชอบร่วมกันของแพลตฟอร์ม SaaS ยังถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นใจว่าข้อมูลที่อยู่บนแพลตฟอร์มเหล่านี้จะได้รับการปกป้องอย่างเพียงพอ

– Vendor Lock-In เพราะการจัดเก็บ บริหารจัดการ และการใช้งานข้อมูลของธุรกิจมีความซับซ้อนสูงขึ้น อีกทั้งธุรกิจยังมีความเสี่ยงที่จะถูกผูกขาดทางเทคโนโลยีจาก vendor หรือแพลทฟอร์มรายใดรายหนึ่ง หากวันใดที่องค์กรธุรกิจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีบางส่วนไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ๆ ก็ตาม องค์กรธุรกิจนั้น ๆ จำเป็นต้องมีความสามารถในการย้ายข้อมูลไปยังระบบหรือแพลตฟอร์มใหม่ได้อย่างสะดวกและง่ายดาย

การจัดเก็บข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมต่อการเคลื่อนย้ายและจัดการข้อมูลที่สำคัญให้อยู่ในสภาวะที่มีความเป็นอิสระเพื่อความสะดวกในการโอนย้ายจากแพลตฟอร์มหรือสถานที่ คืออีกหนึ่งกุญแจสำคัญในการพิจารณาการจำลองฉากทัศน์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็น การตอบสนองต่อการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี การกู้คืนข้อมูล หรือการจำลองสภาวะการทำงานบนสภาพแวดล้อมใหม่ เป็นต้น

– การขยายตัวของภัยคุกคามทางไซเบอร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรนซัมแวร์ ข้อมูลจาก Veeam 2024 Ransomware Trend Report พบว่าร้อยละ 75 ของธุรกิจเคยตกเป็นเหยื่อการโจมตีอย่างน้อยหนึ่งครั้งในปีที่ผ่านมา ในขณะที่ร้อยละ 25 ที่เหลือตกเป็นเป้าหมายมากกว่า 4 ครั้งในระยะเวลาเท่ากัน นอกจากนี้การยอมเสียค่าไถ่ให้กับอาชญากรไซเบอร์ก็ไม่ใช่สิ่งที่รับประกันว่าจะได้รับข้อมูลทั้งหมดกลับคืนมา โดยร้อยละ 25 ระบุว่าพวกเขาต้องสูญเสียข้อมูลสำคัญไปแม้จะจ่ายค่าไถ่ไปแล้วก็ตาม อีกทั้งการเข้ามาของเทคโนโลยี AI ก็มีส่วนในการเสริมสร้างความซับซ้อนให้กับการโจมตีทางไซเบอร์อีกด้วย นำไปสู่ความเสียหายอย่างรุนแรงต่อธุรกิจ

กว่าร้อยละ 96 ของการโจมตีทางไซเบอร์เหล่านี้มีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ข้อมูลขององค์กรรวมถึงข้อมูลเป้าหมายที่ถูกสำรองไว้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการในด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐานทางข้อมูล กับการปฏิบัติการต่าง ๆ ที่ต้องยกระดับความสำคัญให้ยิ่งยวดกว่าเดิม การเลือกใช้โซลูชันอย่าง Veeam Cyber Secure สามารถเสริมความมั่นใจได้ว่าการปกป้องข้อมูลสำคัญดำเนินไปตามแนวทางที่ดีที่สุด และมีศักยภาพในการตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การเลือกใช้โซลูชัน Zero Trust Data Resilience เป็นต้น

“ปัจจุบันธุรกิจในประเทศไทยกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูล หากข้อมูลเหล่านี้ไม่สามารถใช้งานได้ ธุรกิจก็ต้องหยุดชะงัก ด้วยเหตุนี้องค์กรธุรกิจต่าง ๆ จึงต้องใส่ใจต่อการปกป้องข้อมูลทั้งที่มีอยู่ในทุกแพลตฟอร์มและทุกช่องทางเทคโนโลยี องค์กรต้องมั่นใจว่าข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้พร้อมใช้งานเสมอทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ” นายเจษฎา กล่าว

สำหรับการทำตลาดในประเทศไทย บริษัทจะทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย คาดว่าในปีนี้บริษัทจะมีรายได้เติบโต 30 เปอร์เซ็นต์เป็นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจาก ตลาดประเทศไทยเป็นตลาดที่กำลังเติบโตและมีศักยภาพ ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยมาจากบริษัทต่างประเทศเข้ามาตั้งสำนักงานในประเทศมากขึ้น ทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

#Veeam #DataResilience #ThaiSMEs

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Follow by Email
Pinterest
LinkedIn
Share