แกร็บ เปิดกลยุทธ์ธุรกิจสู่ความยั่งยืน ผ่านนโยบาย 4A ตั้งเป้าใช้รถ อีวี 10% ภายใน 3 ปี 

กองบรรณาธิการ

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 2567 นี้ แกร็บมีนโยบายที่จะทำธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์  4A ประกอบด้วย Active users, Affordability, AI technology และ Ads and new services

ในส่วนของ Active users แกร็บยังมุ่งรักษาฐานลูกค้าหลัก โดยการยกระดับบริการ และรักษาคุณภาพบริการในทุกบริการ เพื่อให้ลูกค้าคุณภาพมีการใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาลูกค้าคุณภาพใช้บริการแกร็บและมีการสั่งซื้อสินค้าผ่านแอพพลิเคชั่นของแกร็บเฉลี่ยที่ 200 บาท และปีนี้คาดว่าจะมีการสั่งซื้อสินค้าในราคาเฉลี่ยที่ 300 บาทต่อออร์เดอร์

นอกจากนี้ยังมีการขยายการให้บริการที่สนามบินเพื่อรับนักท่องเที่ยวด้วย โดยที่ผ่านมาได้ขยายบริการที่สนามบินเชียงรายและดอนเมือง ในเดือนเมษายนนี้จะเปิดให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อรับนักท่องเที่ยวรวมถึงให้บริการแพคเกจเพิ่มสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าสมาชิกรายปี และมุ่งเพิ่มบริการใหม่ของ Grab ThumpsUp อร่อยยกนิ้วด้วย โดยจะคัดสรรร้านอาหารที่มี Passion ในการทำธุรกิจอาหารเข้ามาอยู่ในแอพพลิเคชั่นของ Grab ThumpsUp มากขึ้น

ทางด้าน Affordability บริการราคาที่จับต้องได้ ในปีนี้จะให้บริการใหม่ที่เน้นความคุ้มค่าในราคาที่สามารถจับต้องได้ และมองว่าหากบริการมีระดับราคาที่อยู่ในปัจจุบัน ธุรกิจจะไม่สามารถขยายตัวได้ โดยจากการวิจัย พบว่า 61.9 เปอร์เซ็นต์ของคนไทย มีความกังวลกับค่าใช้จ่ายในครัวเรือน มองว่าราคาค่าบริการเรียกรถมีราคาสูง ซึ่งแตกต่างจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ธุรกิจเรียกรถไม่โตเท่าที่ควร แกร็บได้นำเสนอบริการใหม่  GrabCar Saver ซึ่งเป็นบริการเรียกรถที่มีราคาถูกกว่าเดิม 15 เปอร์เซ็นต์สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ขนาดเล็ก ได้ทดลองให้บริการเมื่อปีที่ผ่านมา 20 จังหวัด และจะให้บริการอย่างเป็นทางการในปีนี้ โดยจะให้บริการในกรุงเทพฯและปริมณฑล นอกจากนี้ยังมีบริการ GrabBike Saver สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการการเดินทางในระยะทาง 0-4 กิโลเมตร ในราคาเริ่มต้นที่ 26 บาท

ในส่วนของ Food delivery นั้น แกร็บได้จัดทำแคมเปญเพื่อสนับสนุนร้านอาหารขนาดเล็กที่จำหน่ายอาหารราคาถูก ภายใต้บริการ Hot Deals ตลอดทั้งวันหรือบางช่วงเวลาในการสั่งอาหารราคาเริ่มต้นที่ 19 บาท และบริการค่าส่งอาหาร ศูนย์บาท สำหรับสมาชิก เพื่อขยายตลาดลูกค้าที่อยู่คอนโด และลูกค้าใหม่ในกลุ่มนักศึกษามากขึ้น

สำหรับ AI technology บริษัทมีการพัฒนาเทคโนโลยีปัญาประดิษฐ์ Artificial intelligence หรือ AI และ แมชชีนเลิร์นนิ่ง (Machine learning) มากกว่า 1,000 โมเดลมาช่วยในการพัฒนาบริการและเสริมประสิทธิภาพการให้บริการมากขึ้น อาทิ มีการใช้ AI มาต่อยอดประสบการณ์ของลูกค้า นำมาช่วยในการพัฒนาแผนที่ของตนเองและต่อยอดเป็นการเพิ่มยอดขาย รวมถึงนำ AI มาพัฒนาการค้นหาของลูกค้า ช่วยหาสิ่งที่ลูกค้าพิมพ์และต้องการ มีการนำมาช่วยในการแปลภาษา ช่วยให้การแปลภาษามีความแม่นยำมากขึ้นในการแปลภาษาไทย จีน อังกฤษ มีความรวดเร็วในการแปลภาษาได้เรียลไทม์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 95 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังนำ AI มาช่วยในการทำ Credit scoring เพื่อปล่อยสินเชื่อให้กับไรด์เดอร์และร้านค้ามากกว่า 100,000 ราย โดยปล่อยสินเชื่อรายบุคคลเริ่มตั้งแต่ 5,000 – 500,000 บาท และมีการพัฒนา ChatGPT เพื่อให้พนักงานใช้งาน เพื่อช่วยให้การทำงานออกแบบภายในองค์กร หรือพัฒนาคอนเทนต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น

บริการ Ads and new services ธุรกิจโฆษณาและบริการใหม่นั้น แกร็บจะนำธุรกิจโฆษณา มาเชื่อมต่อระหว่างออนไลน์และออฟไลน์เพื่อรองรับการเพิ่มประสิทธิภาพในการโฆษณาให้กับลูกค้ามากขึ้น เพื่อรองรับ ธุรกิจสินค้าสุขภาพและความงาม ธุรกิจกลุ่มท่องเที่ยว สุขภาพและการเงิน โดยปัจจุบันลูกค้าที่ใช้บริการ สูงสุด คือ แอปเปิล โค้ก วอลโว่ และเอสซีบี

นอกจากนี้จะมีการขยายบริการ Self-serve Ads หรือบริการโฆษณาสำหรับร้านอาหารขนาดเล็ก ซึ่งได้เริ่มให้บริการเมื่อปีที่ผ่านมาส่งผลให้ร้านอาหารขนาดเล็ก มีออร์เดอร์เพิ่มขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ ได้รับผลตอบแทนจากการลงโฆษณา ร้านอาหารได้รับการตอบรับสูงขึ้น 6 เท่า และยังจะเปิดให้บริการ Advance booking สำหรับลูกค้าที่ต้องการเรียกรถล่วงหน้า บริการ GrabFood Dine-in จะขยายบริการมากขึ้น อาทิ ลูกค้าสามารถจองร้านอาหารล่วงหน้าได้ และยังจะเพิ่มบริการซื้ออาหารสดแบบชั่งน้ำหนักโดยร่วมกับซุปเปอร์มาร์เก็ตผ่านแพลตฟอร์ม GrabMart คาดว่าจะมีรายการอาหารสดให้บริการประมาณ 40 รายการ 

นอกจากนี้ยังจะมีโปรแกรมส่งเสริมคนขับรถผู้หญิง โดยในปีที่ผ่านมามีไรเดอร์ผู้หญิงเข้ามาเป็นคนขับรถของแกร็บเพิ่มขึ้น 45 เปอร์เซ็นต์

“ในปีนี้ธุรกิจ ท่องเที่ยวมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว แกร็บยังมุ่งเน้นการทำธุรกิจเดิมและขยายธุรกิจใหม่ผ่าน Enterprise for business เพื่อให้ธุรกิจแกร็บเติบโตอย่างยั่งยืน” นายวรฉัตร กล่าว

สำหรับการดำเนินงานของบริษัทในปี 2566 ที่ผ่านมา แกร็บ เริ่มมีผลกำไรเกิดขึ้น มียอดการใช้บริการเรียกรถผ่านแอพพลิเคชั่นแกร็บในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตขึ้น 139 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ธุรกิจเดลิเวอรี่ทั้ง GrabFood และ GrabMart ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องรวมถึง บริการกินที่ร้าน (Dine-in) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจทางการเงิน ได้เพิ่มช่องทางการชำระเงินสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยร่วมมือกับ Alipay และ Kakao Pay เพื่อรองรับการชำระเงินของนักท่องเที่ยวจีน และเกาหลี สำหรับลูกค้าในต่างจังหวัด ได้เชื่อมระบบการชำระเงินของแกร็บเพย์ วอลเล็ต (GrabPay Wallet) เข้ากับแอพพลิเคชั่น  Khungthai Next ของธนาคารกรุงไทย 

สำหรับธุรกิจที่ทำรายได้ให้กับแกร็บมากที่สุดคือ บริการเรียกรถ รองลงมาคือบริการ ฟู้ดเดลิเวอรี และ โฆษณา ตามลำดับ 

“แกร็บ มองเห็นสัญญาณเชิงบวก และเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของทั้งภูมิภาครวมทั้งประเทศไทย ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยปัจจุบันประเทศไทยมีมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลสูงถึง 3.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเรียกรถผ่านแอพพลิเคชั่นและฟู้ดเดลิเวอรี คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 15 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2568” นายวรฉัตร กล่าว

สำหรับการสนับสนุนสิ่งแวดล้อมเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนผ่านการดำเนินธุรกิจนั้น แกร็บมีนโยบายในการเพิ่มรถ EV  จำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2569 ปัจจุบันมีการใช้รถ EV ประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งมีการปลูกป่า 50,000 ต้นในปีที่ผ่านมา ในปีนี่จะปลูกป่าเพิ่มขึ้น 2 เท่า ประมาณ 100,000 ต้นและยังจะผลักดันเพื่อลดขยะพลาสติกด้วย

“แกร็บ ต้องการเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยขับเคลื่อนในภูมิภาคเอเชีย ให้ร้านค้าได้เข้าถึงดิจิทัล เป็นแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพและช่วยต่อยอดพัฒนาธุรกิจคนไทยร้านอาหารได้ในอนาคต” นายวรฉัตร กล่าว

#แกร็บ #ThaiSMEs

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Follow by Email
Pinterest
LinkedIn
Share