เอปสัน โชว์แกร่งตั้งเป้าโต 8% 

พร้อมลงทุน 30 ลบ. เปิดศูนย์โซลูชั่นรวมเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน

กองบรรณาธิการ

เอปสัน ประเทศไทย ฝ่ากระแสเศรษฐกิจโตเกือบยกพอร์ต เผยรายได้ประมาณการโต 8 เปอร์เซ็นต์ สวนทางตลาดไอทีขาลง พร้อมประกาศเปิดตัวโซลูชั่นเซ็นเตอร์รวมนวัตกรรมใหม่มุ่งสร้างความยั่งยืนเพื่อองค์ธุรกิจฉลองครบรอบ 33 ปีก่อตั้งบริษัท

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า 2566 เป็นปีที่ท้าทาย แต่ได้พิสูจน์ว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินกลยุทธ์ที่ถูกต้องและอยู่นำหน้าตลาด เพราะในขณะที่ตลาดไอทีเติบโตลดลงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2565 ยอดขายประมาณการทั้งปีของเอปสันกลับโตสวนทางเพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ไม่เพียงปรับโฟกัสธุรกิจมาที่ตลาด B2B ตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ทำให้ได้รับผลกระทบไม่มากนักจากความผันผวนที่มีในตลาด B2C ทั้งยังเดินหน้าเพิ่มไลน์อัพสินค้าและสร้าง S-curve ใหม่อยู่เสมอ โดยนำนวัตกรรมใหม่ของเอปสันเองเข้ามาเปิดตลาด สร้างฐานลูกค้าใหม่ พร้อมกับช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากเทคโนโลยีและแบรนด์คู่แข่ง ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงการสร้างรายได้จากสินค้าเดิมหรือสินค้าเพียงกลุ่มเดียว และที่สำคัญ การที่เอปสันยึดโยงในคุณค่าของความยั่งยืนตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้ในวันนี้ เอปสันกลายเป็นแบรนด์แรกๆ ที่ลูกค้านึกถึงก่อน เมื่อมองหาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับกลุ่มสินค้าของเอปสันที่ทำยอดขายได้อย่างโดดเด่นในปีนี้ ได้แก่ เครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา Epson SureColor S-series ที่เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 37 เปอร์เซ็นต์ เป็นผลจากการที่บริษัทฯ สามารถดึงผู้ประกอบการที่เคยใช้เครื่อง Non-brand ที่มีข้อจำกัดในเรื่องเทคโนโลยี คุณภาพ และการบริการ มาใช้เครื่องเอปสันได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสำหรับเครื่องแบรนด์เนมที่ได้รับความนิยมในวงการพิมพ์ป้ายปัจจุบัน เอปสันถือว่าเป็นแบรนด์ Top of Mind ของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนจากการจัดกิจกรรมการตลาดและโปรโมชั่นพิเศษที่เพิ่มขึ้นของศูนย์การค้าและโรงแรมต่างๆ บวกกับปัจจัยด้านการท่องเที่ยว นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ และการเลือกตั้ง 66 ที่ทำให้สื่อโฆษณานอกบ้านและสื่อเคลื่อนที่เติบโตขึ้น

ต่อมาคือสแกนเนอร์ ที่เติบโตขึ้น 37 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งได้รับอานิสงค์จากการที่ พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้ ทำให้หน่วยงานราชการหลายแห่งจำเป็นต้องทำเอกสารดิจิทัล เพื่อให้บริการประชาชนผ่านระบบออนไลน์ รวมไปถึงธนาคาร ห้องสมุด และสถาบันศึกษาที่ต้องการเก็บข้อมูลถาวรในรูปแบบดิจิทัล และองค์กรธุรกิจที่เริ่มทำงานผ่านระบบเครือข่ายมากขึ้น

ตามมาด้วย เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับองค์กร Epson WorkForce ที่โตเกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ ยืนยันถึงความสำเร็จของบริษัทฯ ในการชิงส่วนแบ่งตลาดจากเครื่องถ่ายเอกสารตามสำนักงานที่เคยใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ ที่ผ่านมา เอปสันเน้นให้ความรู้กับผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องถึงข้อได้เปรียบและประโยชน์ที่หัวพิมพ์อิงค์เจ็ท PrecisionCore Heat-Free Technology ที่ไม่ใช้ความร้อนในการพิมพ์ กินไฟน้อย บำรุงรักษาง่าย เพราะใช้ชิ้นส่วนประกอบน้อย และปลอดภัยจากฝุ่นผงหมึก อีกทั้งเอปสันยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เลือกรูปแบบในการเป็นเจ้าของเครื่องพิมพ์เอปสัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาด เช่าเครื่อง คิดค่าบริการต่อแผ่น หรือเหมาจ่ายรายเดือน

ส่วนโปรเจคเตอร์ โดยรวมมีการเติบโตได้ดี เพิ่มขึ้นเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมาจากกลุ่มเลเซอร์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง  เช่น รุ่นที่มีความสว่างตั้งแต่ 5,000 ลูเมนขึ้นไปและสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ และเลเซอร์โปรเจคเตอร์เพื่อธุรกิจ เช่น Epson 2000-series โดยที่เอปสันมีการออกสินค้าใหม่มากที่สุดและทำการตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ขณะที่แบรนด์คู่แข่งบางรายกลับหยุดหรือชะลอการทำตลาด

อีกหนึ่งกลุ่มสินค้าที่แสดงถึงการเติบโตอย่างมีนัยยะ คือเครื่องพิมพ์มินิแล็บ Epson SureLab ที่โตขึ้นในปีนี้เกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ บ่งบอกถึงการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ของธุรกิจรับพิมพ์ภาพขนาดย่อมในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศมาตั้งแต่หลังโควิด ยิ่งได้รับการสนับสนุนจากกระแสการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ทำให้เกิดกิจกรรมทางสังคมเพิ่มขึ้น อัตราการพิมพ์ภาพก็มากขึ้นตาม จนนำไปสู่การลงทุนซื้อเครื่องพิมพ์เพิ่มของกลุ่ม Startup และ SME

สำหรับเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ Epson EcoTank มีการเติบโตเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากตลาดปี 2566 มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในด้านราคา เพื่อจูงใจผู้บริโภค แต่เอปสันยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ไว้ได้ที่สัดส่วน 57 เปอร์เซ็นต์ เมื่อธันวาคมที่ผ่านมา ในขณะที่กลุ่มเครื่องพิมพ์สิ่งทอ Epson SureColor F-series ไม่แสดงการเติบโต เช่นเดียวกับกลุ่มหุ่นยนต์แขนกล ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

นายยรรยง กล่าวถึงปี 2567 ว่าถึงแม้ภาพรวมเศรษฐกิจในเวลานี้ยังอยู่ภาวะชะลอตัว ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น และปัญหาหนี้เสียคงค้างของสินเชื่อประเภทต่างๆ ที่อาจส่งผลถึงการจับจ่ายของประชาชน และการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคซึ่งมีผลต่อราคาน้ำมันโลก แต่ เอปสัน ประเทศไทย ยังเชื่อมั่นในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ผ่านการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ว่าจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวและมีเสถียรภาพอย่างแน่นอน โดยเอปสันเองตั้งเป้าที่จะรักษาระดับการเติบโตให้ไม่ต่ำกว่าปีนี้ โดยจะมุ่งลงทุนในจุดแข็งทั้ง 5 ด้านของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายตัวทางธุรกิจ ได้แก่ S-curve strategy, Sales model, Service excellence, Solution center และ Sustainable value

การที่เอปสันไม่หยุดที่จะมองหาและสร้าง S-curve ใหม่ ช่วยให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตก้าวหน้าได้อยู่เสมอ ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด และสร้างความแตกต่างและโดดเด่นจากคู่แข่ง ล่าสุดบริษัทฯ เปิดตัวเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทขาวดำที่ใช้หัวพิมพ์ Heat-Free Technology ทั้งในกลุ่ม EcoTank และ WorkForce อย่างละ 2 รุ่น เพื่อมาแข่งขันกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ขาวดำโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันยังมีกลุ่มผู้ใช้ที่เน้นพิมพ์เอกสารขาวดำอยู่ เช่น สำนักงานบริษัท สถาบันศึกษา โรงพยาบาล เป็นต้น โดยจะเป็นกลุ่มที่ต้องการเครื่องพิมพ์ที่ให้ต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นต่ำ ความเร็วระดับปานกลาง แต่สามารถรองรับงานปริมาณมากได้

สินค้าใหม่ทั้ง 4 รุ่น ประกอบด้วย เครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ Epson EcoTank M2050 ที่เป็นรุ่นมัลติฟังก์ชั่น และ Epson EcoTank M1050 ที่เป็นซิงเกิลฟังก์ชั่น มีจุดเด่นที่ราคาไม่สูง ต้นทุนการพิมพ์ต่ำ เพราะชุดหมึกความจุสูงรองรับการพิมพ์ได้มากสุดถึง 6,000 แผ่น ให้งานพิมพ์ที่คมชัดกันน้ำได้ด้วยหมึก DURAbrite ET สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง Wi-Fi, Wi-Fi Direct และ Ethernet มาพร้อมกับการรับประกัน 4 ปี หรือ 50,000 แผ่น ส่วนเครื่องในกลุ่ม WorkForce ทั้ง 2 รุ่น ได้แก่ Epson WorkForce Pro WF-M5899 เครื่องมัลติฟังก์ชั่น และ Epson WorkForce Pro WF-M5399 เครื่องซิงเกิลฟังก์ชั่น ที่ผสานคุณค่าด้านความยั่งยืนเข้ากับประสิทธิภาพการพิมพ์ได้อย่างลงตัว
กินไฟต่ำ ขนาดกะทัดรัด ประหยัดพื้นที่ สามารถพิมพ์ได้เร็ว 25 ipm มาพร้อมกับฟีเจอร์มากมาย เช่น พิมพ์สองหน้าอัตโนมัติความเร็วสูง เชื่อมต่อกับคลาวด์และมือถือได้

จุดแข็งต่อมาคือ Sales Model เอปสันได้พัฒนารูปแบบการขายที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกว่าต้องการเป็นเจ้าของเครื่องพิมพ์คุณภาพสูงของเอปสันในรูปแบบใด โดยคำนึงถึงงบประมาณ ประเภทงานพิมพ์และปริมาณการใช้ในแต่ละเดือนที่ลูกค้าสามารถเป็นผู้กำหนดได้เอง เช่น รูปแบบบริการการพิมพ์แบบจ่ายรายเดือนอย่าง EasyCare ที่ลูกค้าสามารถควบคุมต้นทุนการพิมพ์ของตัวเองได้ ไม่ต้องสต๊อกหมึก เพราะเอปสันจะส่งหมึกให้โดยคำนวณค่าใช้จ่ายจากจำนวนพิมพ์รายแผ่น เป็นต้น

Service excellence เอปสันให้ความสำคัญกับการบริการทั้งก่อนและหลังการขายมาโดยตลอด โดยจะเห็นได้จากการที่บริษัทฯ มีการพัฒนาทีม Pre-sales สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนการทำโซลูชั่นที่เหมาะกับองค์กรธุรกิจของลูกค้า รวมถึงพัฒนาช่องทางดิจิทัลเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังได้เพิ่มจำนวนศูนย์บริการ จนปัจจุบันมีอยู่ 182 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งมี 140 แห่งที่สามารถให้บริการ onsite และเพิ่มบริการ onsite อีก 10 แห่งเป็น 150 แห่ง ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

ในปีนี้ นอกจากเอปสัน ประเทศไทยจะย้ายมาที่สำนักงานใหม่บนชั้น 22 อาคารปัน (PUNN Smart Workspace) ยังได้ทุ่มงบประมาณกว่า 30 ล้านบาทในการสร้าง Solution Center แห่งใหม่บนพื้นที่มากกว่า 600 ตารางเมตร เพื่อใช้เป็นที่จัดแสดงและสาธิตการใช้งานผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มของเอปสัน เพื่อสร้างประสบการณ์จริงให้กับลูกค้าก่อนตัดสินใจซื้อ ทั้งยังใช้เป็นที่จัดอบรมเทคโนโลยีและโซลูชั่นที่มุ่งสร้างความยั่งยืนให้กับตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ โดยจะแบ่งออกเป็นโซนเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ซึ่งมีเครื่องพิมพ์สิ่งทอ เครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา และเครื่องพิมพ์ภาพ ทั้งยังมีเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับองค์กร โปรเจคเตอร์ และหุ่นยนต์แขนกล

“การลงทุนสร้างโซลูชั่นเซ็นเตอร์แห่งใหม่นี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเอปสันที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานขององค์กรธุรกิจในไทย ด้วยนวัตกรรมและโซลูชั่นที่ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มผลิตผล แต่ยังช่วยสร้างความยั่งยืนอีกด้วย เพื่อสร้างสังคมที่ปล่อยคาร์บอนเป็นลบได้ในที่สุด ทั้งยังแสดงถึงความพยายามของบริษัทฯ ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนได้ง่ายยิ่งขึ้น” นายยรรยง กล่าว

Sustainable Value หรือคุณค่าด้านความยั่งยืน คือดีเอ็นเอของไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น ที่ได้ดำเนินธุรกิจบนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมระยะยาว ‘Environmental Vision 2050’ อย่างจริงจัง โดยมีวัตถุประสงค์ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ในปี 2593 และหยุดการใช้พลังงานจากใต้ดิน และล่าสุด ธันวาคม 2566 บริษัทฯ ได้แถลงความสำเร็จในการเป็นบริษัทแรกในอุตสาหกรรมการผลิตของญี่ปุ่นที่สามารถเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนแบบ 100% ได้ตามกำหนดเวลาที่ให้คำมั่นไว้เมื่อปี 2564 ด้วยการจัดหาพลังงานหมุนเวียนเพื่อมารองรับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ทุกโรงงานและสำนักงานของเอปสันทั่วโลกใช้ราว 876 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ทำให้เอปสันคาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงได้ราว 4 แสนตันในแต่ละปี นอกจากนี้ เอปสันยังจะผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการผลิตพลังงานของตัวเองมากขึ้น หรือสนับสนุนการพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ผ่านโครงการความร่วมมือกับพันธมิตร ในขณะที่จะลดปริมาณการใช้พลังงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตและขั้นตอนต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ ทั้งยังจะเดินหน้าต่อไปในขั้นตอนการหมุนเวียนทรัพยากร จนกว่าจะสามารถเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนติดลบ

สำหรับเอปสันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ได้ขานรับนโยบายดังกล่าวและร่วมกันผลักดันให้ประเด็นความยั่งยืนกลายเป็นกระแสหลักในสังคมธุรกิจของแต่ละประเทศ ผ่านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม และกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ ทั้งยังร่วมมือกับ World Wildlife Fund หรือ WWF ในการทำโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมที่สามารถสร้างแรงกระทบต่อสังคมวงกว้างได้ ในส่วนของเอปสัน ประเทศไทยเอง นอกจากจะให้ความรู้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับคุณค่าด้านความยั่งยืนที่มีอยู่ในเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ เช่น หัวพิมพ์ Heat-Free Technology หรือหมึก UltraChrome ก็ยังได้ทำกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมมาตลอด โดยในปี 2566 ได้มีการทำแคมเปญ ‘33 x Trees’ เพื่อบอกถึงการก้าวเข้าสู่ปีที่ 33 ของบริษัทฯ ด้วยความตั้งใจที่จะช่วยรักษาผืนป่าของไทย โดยชูประเด็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ที่สูญเสียไปจากไฟป่า ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ เพราะไม่ได้เกิดความเสียหายแค่กับทรัพยากรป่าไม้ แต่ยังทำลายคุณภาพชีวิตของผู้คนด้วยปัญหาฝุ่นควัน

แคมเปญดังกล่าวจะเน้นการมีส่วนร่วมของพนักงานเอปสันและครอบครัว รวมถึงสื่อมวลชนในกิจกรรมเชิงปฏิบัติต่างๆ เพื่อเรียนรู้ถึงสาเหตุการเกิดไฟป่า ปัญหาผลกระทบ แนวทางป้องกันไฟป่า และการทำงานของเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า เช่นในกิจกรรม ‘เรื่องจริงของคนตีไฟ’ ที่ จ.นครราชสีมา ทั้งยังได้มีส่วนร่วมกับพิธีกรรมทางศาสนาพุทธที่ถูกคิดค้นขึ้นตั้งแต่อดีตเพื่อใช้ความเชื่อมาหยุดปัญหาการรุกและเผาป่าไม้ อย่าง ‘พิธีบวชป่าลับแล’ ที่ จ.ราชบุรี และร่วมทำกิจกรรม ‘คาราวานสังฆทานต้นไม้’ ที่ จ.ลำปาง ที่ได้ถวายต้นกล้าสัก 333 ต้นเป็นพุทธบูชาให้แก่วัด เพื่อนำไปใช้เป็นประโยชน์แก่วัดและชุมชนต่อไป นอกจากนี้ ยังได้เชิญตำนานนักท่องไพร อย่าง อาจารย์วัธนา บุญยัง มาทำคลิปสั้น เรื่องเล่าจากพงไพร ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของป่าที่คนรุ่นใหม่จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสอีกแล้ว เป็นต้น

“ในโอกาสที่เอปสัน ประเทศไทย ได้เดินทางมาถึงปีที่ 33 นี้ บริษัทฯ ต้องขอขอบคุณลูกค้าผู้มีอุปการคุณ ตัวแทนจำหน่าย พันธมิตรคู่ค้าจากทั่วประเทศ ทีมงานเอปสัน และสื่อมวลชนทุกสำนัก ที่ให้การสนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีมาโดยตลอด การจะอยู่นำหน้าตลาด ปรับตัวให้ทันหรือก่อนการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และสามารถสร้างการเติบโตได้ในทุกปีนั้น เอปสันไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเอง partnership ที่ดีกับทุกคนจึงเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างมากกับบริษัทฯ และจากปีนี้ไป เอปสัน ประเทศไทยจะไม่เพียงแต่มุ่งมั่นที่จะนำเสนอนวัตกรรม โซลูชั่น และบริการที่ดี ที่สามารถช่วยสร้างคุณค่าสูงสุดให้กับผู้บริโภคได้เท่านั้น แต่จะขอมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วนในการสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นในองค์กรของลูกค้า ในห่วงโซ่ธุรกิจที่เอปสันมีส่วนเกี่ยวข้อง และกับสังคมไทย” นายยรรยง กล่าวและว่าสำหรับธุรกิจหุ่นยนต์ในปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตมากขึ้นหลังจากในช่วงปีที่ผ่านมามีการชลอการลงทุนของกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ 

นายยรรยง กล่าวต่อว่า เอปสัน ได้ผันตัวสู่ธุรกิจ B2B มากขึ้น ทำให้เอปสันสามารถที่จะมีผลการดำเนินการธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและเอปสันในภูมิภาคยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันธุรกิจของเอปสัน มีรายได้จาก B2B ที่สัดส่วน 40 เปอร์เซ็นต์และคอนซูเมอร์ 60 เปอร์เซ็นต์และใน 3 ปีข้างหน้าจะมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจ B2B มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์

ในส่วนของการแข่งขันนั้น เอปสัน มีการนำเสนอสินค้าที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่และมีการแข่งขันเรื่องราคาที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้

โดยกลุ่มคอนซูเมอร์จะใช้การทำตลาดจัดปโปรโมชั่น ส่วนตลาด B2B มีการจัดคาราวานสินค้าเพื่อเข้าถึงลูกค้าและให้ลูกค้าได้ทดลองสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อด้วยและในปีนี้เอปสันคาดว่าจะมีรายได้เติบโตที่ 8 เปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา

#เอปสัน #ThaiSMEs #33ปีเอปสันประเทศไทย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Follow by Email
Pinterest
LinkedIn
Share