MINT เล็งขยายธุรกิจที่พักอาศัยพรีเมียม 70 แห่งใน 3 ปี ตั้งเป้าฟันกำไร 15-20% ต่อปี

กองบรรณาธิการ

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) รายงานผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโต 3 เท่า ที่ 7.1 พันล้านบาท จากการทำธุรกิจในอุตสาหกรรมการบริการและการท่องเที่ยวที่มีธุรกิจใน 63 ประเทศ MINT ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในทวีปยุโรป ในขณะเดียวกันกับการฟื้นตัวของการเดินทางในประเทศไทย

มร.ดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT กล่าวว่า สำหรับไตรมาส 4 ปี 2566 MINT สรุปผลการดำเนินงานประจำปีด้วยผลกำไรจากการดำเนินงานที่สูงเป็นจำนวน 2.5 พันล้านบาท เป็นการเติบโตที่สูงที่ร้อยละ 77 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยวิธีการเทียบแบบบรรทัดฐานเดียวกัน (Like-for-like) และการเติบโตของกำไรของบริษัทมาจากธุรกิจหลักในทุกภาคส่วน

ในไตรมาส 4 ปี 2566 ไมเนอร์ โฮเทลส์รายงานรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของโรงแรมในประเทศไทยและทวีปยุโรปและลาตินอเมริกา เติบโตที่ร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าปี 2562 ที่ร้อยละ 23 และ 27 ตามลำดับ ตลอดทั้งปี 2566 ไมเนอร์ โฮเทลส์ มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนทั้งหมดมากกว่าปี 2565 และปี 2562 ที่ร้อยละ 30 และ 31 ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน ไมเนอร์ ฟู้ดรายงานยอดขายโดยรวมทุกสาขาในปี 2566 เติบโตร้อยละ 11 โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมการรับประทานอาหารภายในร้าน ตลอดจนกลยุทธ์ด้านการเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ และการตลาดของธุรกิจในทุกประเทศ การเติบโตจากรายได้และกำไรสุทธิยืนยันถึงความแข็งแกร่งของรูปแบบธุรกิจที่หลากหลายของ MINT และความสามารถในการใช้ประโยชน์จากแนวโน้มเชิงบวกในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและร้านอาหารทั่วโลก ตลอดจนการจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ผลิตภาพที่เพิ่มขึ้น และการเติบโตสู่กำไรสุทธิที่แข็งแกร่ง

MINT เริ่มต้นอย่างแข็งแกร่งในปี 2567 โดยมีรายได้จากห้องพักในเดือนมกราคมและรายได้จากการจองห้องพักล่วงหน้าในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมสูงกว่าระดับของปี 2566 ถึงร้อยละ 39 สำหรับประเทศไทยและที่ร้อยละ 20 สำหรับทวีปยุโรป แนวทางของ MINT ในการสร้างผลกำไรและการเติบโตที่มีความยืดหยุ่นในปี 2567

ใน 3 ปีข้างหน้านี้ MINT ตั้งเป้าขยายกลุ่มธุรกิจโดยเพิ่มโรงแรมใหม่ 200 – 500 แห่ง และร้านอาหาร 1,000 สาขา โดยมียอดรวมจำนวนโรงแรมอยู่ที่ 780 แห่ง และ ร้านอาหารอยู่ที่ 3,700 สาขา ความมุ่งมั่นนี้ได้รับการสนับสนุนจากโอกาสการเติบโตที่มากมายและการมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ด้านการใช้รูปแบบธุรกิจ Asset-light model การทำสัญญารับจ้างบริหารโรงแรม และการทำแฟรนไชส์ร้านอาหาร เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมไปกับการใช้เงินลงทุนให้น้อยที่สุด และการมุ่งเน้นในตลาดที่มีการเติบโตสูงนอกเหนือจากตลาดอื่น

 มร. ราชากาเรีย กล่าวต่อว่าพัฒนาการที่ผ่านมาของ MINT เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่มีต่อการขยายธุรกิจสู่เวทีระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่สำคัญระดับนานาชาติ อาทิ การเพิ่มโรงแรมรับจ้างบริหาร 3 แห่งในกรุงปารีสภายใต้เอ็น เอช และเอ็นเอช คอลเลคชั่น การเปิดตัวโรงแรมหรูภายใต้อนันตราในกรุงเวียนนา และการเปิดตัวของเอ็นเอช คอลเลคชั่นในเฮลซิงกิ นอกจากนี้แผนการขยายโรงแรมยังรวมการเปิดตัวของอนันตราและอวานีในราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ควบคู่ไปกับการเปิดโรงแรมใหม่ในตลาดตะวันออกกลางที่ MINT มีการเติบโตอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแผนการเปิดตัวโรงแรมรับจ้างบริหารในประเทศจีนหลายแห่งเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ในส่วนของ ไมเนอร์ ฟู้ดยังเสริมความแข็งแกร่งในอาเซียนด้วยการเปิดร้านอาหารแฟรนไชส์ในเวียดนามและสิงคโปร์ภายใต้ซิซซ์เลอร์, เดอะคอฟฟี่ คลับ และเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ยิ่งไปกว่านั้น MINT ได้เข้าซื้อกิจการแดรี่ ควีนเพื่อดำเนินงานในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดใหม่คาดว่าจะเปิด30-40 สาขาใน 4 ปีและเปิดตัว เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์ และกาก้า ทั้งนี้แผนทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการขยายธุรกิจสู่ตลาดที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะตลาดภายในกลุ่มอาเซียน

นอกจากนี้ MINT ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจรีสอร์ตที่พักอาศัยวิลล่าระดับพรีเมียมประมาณ 70 แห่ง เช่น ที่ภูเก็ต มาเลเซีย ยุโรปและ ที่อูบุด อินโดนีเซีย

เป้าหมาย 3 ปี ข้างหน้าของ MINT ไม่เพียงแต่จะเพิ่มส่วนของกำไรแต่จะมีส่วนเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ เงินสดดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในแผนการลดหนี้ โดยตั้งเป้าไปที่การลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจาก 1.0 เท่า ณ สิ้นปี 2566 เป็น 0.8 เท่าภายในสิ้นปี 2567 กลยุทธ์ดังกล่าวในสภาวะดอกเบี้ยสูงจะสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของกำไรให้กับบริษัท สถานะการเงินของ MINT ที่แข็งแกร่งขึ้นจะสามารถส่งเสริมให้บริษัทมุ่งเน้นไปที่โอกาสสำคัญในการเติบโตด้วยการผสมผสานกับการเติบโตด้วยรูปแบบ Asset light“ผลประกอบการที่ดีเยี่ยมของเราสำหรับปี 2566 สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทและการทำงานอย่างเต็มที่ของทีมเราทุกคนใน 63 ประเทศ สำหรับก้าวต่อไปเรายังคงมุ่งเน้นไปที่การขยายอาณาจักร ส่งเสริมการเติบโตแบบยั่งยืน และการลดหนี้เพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียกับบริษัทในระยะยาว” มร. ราชากาเรีย กล่าวและว่า ในปี 2567 นี้ บริการยังมีแผนที่ลงทุนที่ 10,000 -13,000 ล้านบาทในการอัพเกรดโรงแรม รีแบรนด์ รวมถึงซื้อกิจการโรงแรมต่างๆเพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และสำหรับ 3 ประเทศที่ทำรายได้หลักให้กับ MINT ประกอบด้วยยุโรป ประเทศไทย และออสเตรเลีย

ในส่วนของโรงแรมที่ทำรายได้มากที่สุด 3 อันดับแรก คือ อนันตรา เอ็นเอช และ อวานี สำหรับธุรกิจอาหารที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ แดรี่ควีน สเวนเซ่นส์ และพิซซ่า

#MINT #ThaiSMEs

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Follow by Email
Pinterest
LinkedIn
Share