กองบรรณาธิการ
ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี รวมถึงภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจจากรูปแบบดั้งเดิมสู่องค์กรดิจิทัล โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาช่วยในการทรานฟอร์มภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตสูงสุด AIS Business เป็นหนึ่งในองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co ที่มีการเชื่อมต่อ 5G Ecosystem สามารถรองรับการทำงานของภาคธุรกิจในทุกด้าน มีเครือข่ายอัจฉริยะ (Intelligent Network) ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและแพลตฟอร์ม รวมถึงข้อมูลที่สนับสนุนภาคธุรกิจ (Data-driven Business) สามารถขับเคลื่อนและสร้างโอกาสการเติบโตของธุรกิจและทีมงานมืออาชีพในการให้บริการและช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของลูกค้าในรูปแบบเดิมสู่การทรานฟอร์มเป็นดิจิทัล ทำให้การดำเนินธุรกิจมีความคล่องตัว ช่วยพัฒนาธุรกิจของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดได้มากยิ่งขึ้นพร้อมสร้างความปลอดภัย มั่นใจ ตอบโจทย์การเติบโตของลูกค้าอย่างยั่งยืน
นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS กล่าวว่า ภาพรวมสถานการณ์ตลาด และเทรนด์การทำ Digital Transformation ขององค์กร และ SME ที่จะเกิดขึ้นนับตั้งแต่การเกิดการระบาดของโควิด-19 เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้องค์กรส่วนใหญ่เร่งปรับตัวจากผลกระทบที่เกิดขึ้นและพร้อมเปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้วยการทำ Digital Transformation เพื่อสร้างโอกาสทางการแข่งขันและพัฒนานวัตกรรมเพื่อการเติบโตของธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ภาคการผลิต ธุรกิจขนส่ง Logistics และผู้ให้บริการทางการเงิน เป็นต้น อีกทั้งเทรนด์ของการใช้งานในปีนี้องค์กรจะมุ่งไปที่การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ เข้ามาช่วยจัดการ ควบคุม ความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลตามกรอบกฎหมายที่ประกาศใช้ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีกระแสเรื่องของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และมีการบริหารจัดการที่ดี ทั้งหมดนี้ทำให้ ดิจิทัลโซลูชั่น กลายเป็นปัจจัยหลักที่จะเข้ามาช่วยองค์กรสร้างความพร้อมสู่การเติบโตควบคู่กับความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจได้
และในปีนี้ AIS Business มุ่งนำเสนอดิจิทัลลแพลตฟอร์มและโซลูชั่นที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากที่สุด โดยนำเสนอ 3 โซลูชั่นหลักเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าประกอบด้วย AIS 5G NEXTGen Platform, AIS Cloud X และ Collaboration
สำหรับ AIS 5G NEXTGen Platform เป็นแพลตฟอร์มนวัตกรรม 5G ที่รวมศูนย์การบริหารจัดการทั้ง 5G, Edge Computing ,Clouds และ Applications มาไว้ที่จุดเดียวแบบ One Stop Service ธุรกิจสามารถใช้บริการ 5G โซลูชั่นที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ง่าย และยืดหยุ่น ตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าด้วยการบริหารจัดการข้อมูลอัจฉริยะ Data Insight & Lifestyle as a Service ที่สามารถตอบโจทย์การพัฒนาและภาพรวมของการใช้งานของธุรกิจและอุตสาหกรรมจ่างๆ อาทิ Smart Manufacturing, Smart Transportation & Logistics, Smart City & Building และSmart Retail เป็นต้น ทำให้ธุรกิจสามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยตัวเองผ่านแพลตฟอร์ม เพื่อให้เหมาะกับงบประมาณ และความต้องการในแต่ละช่วงเวลา สามารถต่อยอดสู่โซลูชั่น รวมถึงมีโซลูชั่นที่เข้ามาช่วยในการบริการจัดการ การช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยคาร์บอนแบบ real-time จากอุปกรณ์ IoT ทำให้สามารถคาดการ์การใช้พลังงานล่วงหน้า เพื่อให้สามารถตัดสินใจวางแผนการทำงานหรือการผลิตได้อย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม e-Waste, Academy for Thai, และอุ่นใจไซเบอร์ เป็นต้น ซึ่งนวัตกรรม 5G จะช่วยธุรกิจให้พร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ การทำงาน ให้ทันต่อโลกของการแข่งขัน ได้อย่างฉับไว
ในส่วนของ AIS Cloud X เป็นโซลูชั่น ระบบนิเวศคลาวด์อัจฉริยะ (Intelligent Cloud Ecosystem) ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการคลาวด์ได้อย่างยืดหยุ่น มีบริการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่ทันสมัย มีประวิทธิภาพ ปลอดภัยและเชื่อถือได้ รองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ โดย AIS ได้ทำงานร่วมกับ VMware ในการเป็นพันธมิตรผู้ให้บริการ Sovereign Cloud รายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเก็บข้อมูลในประเทศ ตอบโจทย์ทั้งความเร็ว ความยืดหยุ่น ช่วยยกระดับการบริหารการจัดการข้อมูลและระบบต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยขององค์กร
“AIS Cloud Solution เป็นบริการสมาร์ทโซลูชั่นสำหรับธุรกิจเพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการทำงานในรูปแบบเดิมให้มีความคล่องตัวมากขึ้น” นายธนพงษ์ กล่าว
และ Collaboration Platform จะเป็นแพลตฟอร์ม Digital Service Business ที่จะครอบคลุมในการให้บริการลูกค้าที่ต้องการสร้างธุรกิจใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของธุรกิจในยุคดิจิทัลที่มีการปรับเปลี่ยนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
สำหรับกลุ่มลูกค้าหลัก คือ ธุรกิจรีเทล อสังหาริมทรัพย์ สมาร์ทซิตี้ สมาร์ทแฟคตอรี่ และสมาร์ท ลอจิสติก ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มอุตสาหกรรมนี้จะเป็นตัวที่ขับเคลื่อนการเติบโตของจีดีพีของประเทศ และบริษัทมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งมีการเติบโตที่ดี
“ในการให้บริการโซลูชั่นและแพลตฟอร์มกับลูกค้า AIS จะใช้กลยุทธ์ การทำงานกับลูกค้าในรูปแบบ Partner กับลูกค้า มีการคุยกับลูกคาตั้งแต่เริ่มต้น มีการทำรีเสริ์ซร่วมกันเพื่อพัฒนาโซลูชั่นที่ลูกค้าต้องการ เพื่อช่วยตอบโจทย์ให้กับลูกค้าสามารถทำทรานฟอร์มเมชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยลดต้นทุนในการผลิต และธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน” นาย ธนพงษ์กล่าว
นายธนพงษ์ กล่าวต่อว่า ลูกค้า AIS Business ส่วนใหญ่จะเป็นองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ที่เอไอเอสเข้าไปช่วยในการแก้ปัญหาสามารถตอบโจทย์ที่ท้าทายขององค์กร โดยเอไอเอสจะเข้าไปช่วยในเรื่องแพลตฟอร์มความร่วมมือต่าง ๆ เป็นความร่วมมือระยะยาวทั้งในส่วนของเอสเอ็มอี และองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่
“AIS ต้องการเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ ในส่วนธุรกิจลูกค้าองค์กรอย่าง AIS Business ก็จะสร้างเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลไทยให้ยั่งยืน ด้วยการเร่งขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของลูกค้า โดยเทคโนโลยีและการให้บริการดิจิทัลที่หลากหลายครบครัน ด้วยทีมงานที่ไว้ใจได้ในความสามารถอย่างมืออาชีพ เรามุ่งหวังที่จะเป็นพันธมิตรสมาร์ตดิจิทัลที่ไว้วางใจได้ สนับสนุนองค์กรธุรกิจและ SME ไทยให้ เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกันอย่างยั่งยืน” นายธนพงษ์ กล่าว
#AIS #ThaiSMEs #AISBusiness #ดิจิทัลโซลูชั่น